ความทุกข์ทำให้เราใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นอย่างไร
ทำไมพระเจ้ายอมให้ฉันมีความทุกข์
พระเจ้าลงโทษฉันหรือเปล่า?
มีหลายคนที่ยึดติดกับความเชื่อที่ว่าพระเจ้าไม่ลงโทษ
แต่สิ่งนี้มันขึ้นอยู่กับว่าคุณหมายถึงการลงโทษแบบไหน
หากคุณกำลังคิดพระเจ้าเฝ้าจะปล่อยสายฟ้าผ่าลงมาที่คุณที่สัญญาณแรกของบาป
แน่นอนว่าพระเจ้าไม่ทำเช่นนั้น อย่างน้อยก็ไม่ใช่ด้วยวิธีนี้
ความทุกข์มากมายที่เราเผชิญในชีวิตเป็นเพียงกระบวนการทางธรรมชาติที่เราต้องจัดการกับผลที่ตามมาจากการกระทำของเราเอง
เจตจำนงเสรี(อิสระในความคิดและการเลือก)เป็นของขวัญที่ดี
แต่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่
พระเจ้าเลือกว่าแทนที่จะทำให้เราเป็นหุ่นยนต์หรือทาสที่ต้องทำตามคำสั่งของพระองค์ทุกขณะ
พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายของพระองค์ (ปฐมกาล 1:26) ทำให้เรามีพลังวิเศษในการตัดสินใจอย่างมีเหตุมีผล
มีอำนาจในการเลือกเส้นทางของเราเอง ไม่ว่าเราจะเลือกทางที่ถูกหรือผิด
มันก็ต้องมีผลตามมา
เมื่อเราติดตามพระเจ้า เราจะตอบแทนด้วยประโยชน์ของการอยู่ในความสัมพันธ์กับพระองค์
พระคุณของพระองค์จะหลั่งไหลเข้ามาในชีวิตของเราอย่างเสรีและอย่างไม่เห็นแก่ตัว
แต่อย่างไรก็ตาม การหันหลังให้พระเจ้าก็มีผลเช่นกัน
หากคุณเลือกปล้นธนาคารจะมีผลเสียตามมาใช่หรือไม่? คุณจะถูกตามล่าโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ
คุณจะถูกจับและจำคุก คุณจะสูญเสียสิทธิ์ในฐานะพลเมือง
เพราะคุณพยายามแย่งชิงทรัพย์สินของผู้อื่น
ความทุกข์ทรมานประเภทนี้ไม่ได้จัดการโดยพระเจ้า
แต่เป็นผลโดยตรงจากการตัดสินใจที่ไม่ดีที่เราจะต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง
ทุกการกระทำมีผลลัพธ์ตามมาเสมอ
แม้แต่นิวตันก็เห็นสิ่งนี้ในการศึกษาฟิสิกส์ของเขา:
“ทุกการกระทำมักจะมีปฏิกิริยาต่อต้านกันเสมอ”
— กฎการเคลื่อนที่ข้อที่
3 ของนิวตัน
ทุกการตัดสินใจมีผลที่ตามมา: ดีหรือไม่ดีก็ตามนั้น
เราอาจเห็นว่ามีบางกรณีของความทุกข์ในโลกที่ยากจะเข้าใจกับความคิดที่ว่าพระเจ้าเป็นสิ่งดีทั้งหมด
เพราะผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามและการก่อการร้ายไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ทำการตัดสินใจที่เลวร้ายซึ่งนำมาซึ่งชะตากรรมในปัจจุบันของพวกเขา
พวกเขาต้องทนทุกข์เพราะคนอื่นตัดสินใจผิดพลาด
จึงเป็นการยากที่จะหาจุดมุ่งหมายในความทุกข์ประเภทนี้
การตีสอนของพระบิดา
ฉะนั้นท่านพึงรู้อยู่แก่ใจว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงตีสั่งสอนท่านเหมือนพ่อตีสั่งสอนลูก
— เฉลยธรรมบัญญัติ
8:5
ดังนั้น
เมื่อพูดถึงความทุกข์ส่วนตัวซึ่งโดยปกติเป็นผลมาจากการเลือกที่ไม่ดีของเรา
ผลที่ตามมามักถูกมองว่าเป็นการตีสอน
มันไม่ได้ช่วยให้เราผ่านไปได้ง่ายขึ้นเสมอไปและบางครั้งเราก็มองไม่เห็นมันจนกว่า
ความจริงจะปรากฎ
แต่พระคัมภีร์ค่อนข้างชัดเจนเกี่ยวกับแนวคิดที่ว่าพระเจ้าคือพระบิดาของเรา
และในฐานะบิดาพระองค์ทรงต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา
พระองค์ทรงต้องการให้เราบรรลุศักยภาพสูงสุดของเรา และหากจำเป็นต้องเรียนรู้บทเรียน
พระองค์จะทรงใช้ประโยชน์จากความผิดพลาดของเราเพื่อช่วยให้เราเติบโต
ไม่ใช่เพื่อให้เราคร่ำครวญในความเจ็บปวดและความทุกข์
แต่เพื่อแสดงให้เราเห็นทางที่ดีกว่า
31แต่ถ้าเราได้วินิจฉัยตนเอง
เราก็จะไม่ต้องตกอยู่ในการพิพากษา 32เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาลงโทษเรานั้น
พระองค์ทรงตีสอนเราเพื่อไม่ให้เราต้องรับโทษร่วมกับโลก
— 1
โครินธ์ 11:31-32
พระเจ้าต้องการเห็นเราเติบโตและทำมันอย่างเต็มที่
ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากเห็นลูก ๆ ของพวกเขาทนทุกข์
แต่บางครั้งพวกเขาก็ต้องถอยออกมาและปล่อยให้ลูกเรียนรู้บางอย่างจากสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่พวกเขาต้องพบเจอด้วยตัวเอง
แม้ว่านั่นจะหมายถึงความทุกข์เล็กน้อยก็ตาม
แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้พวกเขาเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดี
อันที่จริงมันทำให้พวกเขาเป็นพ่อแม่ที่ดีขึ้นด้วย
โอบรับความทุกข์ไว้เป็นความดี
บางครั้งวิธีการถอยออกมาแล้วเฝ้ามองดูอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆจะช่วยให้เด็กตระหนักได้ว่าทุกการกระทำของพวกเขามีผลตามมา
และต้องเผชิญหน้ากับผลที่ตามมาเหล่านั้นและเติบโตไปจนตลอดกระบวนการ
และเด็กส่วนใหญ่เรียนรู้ที่จะเกลียดชังพ่อแม่ด้วยเหตุนี้
แต่ต่อมาภายหลังกลับซาบซึ้งและขอบคุณกับความจริงที่ว่าพ่อแม่ยอมให้พวกเขาเรียนรู้บทเรียนที่สำคัญเหล่านี้ด้วยตนเอง
11ลูกเอ๋ย
อย่าดูหมิ่นการตีสั่งสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า
อย่าขุ่นข้องหมองใจเมื่อพระองค์ทรงว่ากล่าวตักเตือน
12เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสั่งสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก
ดั่งพ่อตีสั่งสอนลูกที่ตนชื่นชม
— สุภาษิต
3:11-12
เฉพาะพ่อแม่ที่รักลูกจริง ๆ เท่านั้นที่จะตีสอนพวกเขา
เพราะความทุกข์ของลูกก็หมายถึงความทุกข์ของพ่อแม่
การดูบุตรหลานของคุณผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในทุกช่วงอายุนั่นเป็นเรื่องที่เจ็บปวด
แต่พ่อแม่ที่ดีก็รักลูกมากพอที่จะถอยออกมาและปล่อยให้เขาได้เรียนรู้บทเรียนนี่คือการตีสอนที่แท้จริง
มันหมายถึงพ่อแม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยแก้ไขพวกเขาได้ทุกเมื่อเมื่อลูกเจอปัญหา
แต่พ่อแม่ต้องเลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้นอย่างแข็งขันเพราะผลลัพธ์สุดท้ายของความทุกข์นั้นมันคุ้มค่ากับความเจ็บปวดในขณะนั้น
ฉันยอมรับว่ามันเข้าใจยากเมื่อคุณเป็นคนหนึ่งที่ทุกข์ทรมาน
ท่ามกลางการต่อสู้ดิ้นรนและพายุแห่งชีวิต ทุกคนสามารถคิดได้ว่าเมื่อไรมันจะจบลง
หนึ่งถามตัวเอง ทำไมฉันถึงต้องเจอเรื่องนี้? ทำไมมันยากอย่างนี้
แต่เมื่อความทุกข์นั้นหมดสิ้นไป
เมื่อเราหวนคิดเราจะเห็นประโยชน์จากเรื่องนั้นอย่างชัดแจ้ง
พระศานจักรคาทอลิกสอนว่าการทนทุกข์ของพระคริสต์มีคุณค่า
นี่เป็นข้อเท็จจริงที่เราเพิ่งพูดถึง เป็นบทเรียนที่พระเยซูทรงสอนเราบนไม้กางเขน
ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชแห่งความทุกข์ทรมาน
การทนทุกข์ก็มีสิ่งดีแฝงอยู่แม้ในการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์
ดังนั้นแม้ในชีวิตเราเอง ในความยากลำบาก การดิ้นรน พายุแห่งชีวิต เราสามารถพบความหวังและแสงสว่างในการตีสอนของพระบิดา
การเรียนรู้ที่จะไม่ “เอาอย่างมนุษย์” แต่ให้มองความทุกข์เป็นโอกาส
เพื่อให้พระเจ้าทำงานในชีวิตของเรา เพื่อสอนบทเรียนใหม่แก่เรา
เพื่อช่วยให้เราเติบโต และทำให้เราบริสุทธิ์
7จงทนความทุกข์ยากโดยถือเสมือนว่าเป็นการตีสอน
พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะบุตร เพราะบุตรคนไหนบ้างที่บิดาไม่เคยตีสอน? 8หากท่านไม่ถูกตีสอน
(และทุกคนได้รับการตีสอน) ท่านก็เป็นบุตรนอกกฎหมายและไม่ใช่บุตรแท้ 9ยิ่งไปกว่านั้นเราทั้งปวงล้วนมีบิดาซึ่งเป็นมนุษย์ผู้ตีสอนเราและเราเคารพนับถือท่านที่ทำเช่นนั้น
ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใดที่เราควรอยู่ในโอวาทของพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของเราและมีชีวิตอยู่!
10บิดาของเราตีสอนเราชั่วระยะหนึ่งตามที่คิดเห็นว่าดีที่สุด
แต่พระเจ้าทรงตีสอนเราเพื่อประโยชน์ของเรา
เพื่อเราจะได้มีส่วนในความบริสุทธิ์ของพระองค์ 11ไม่มีการตีสอนใดดูน่าชื่นใจในเวลานั้น มีแต่จะเจ็บปวด
แต่ภายหลังจะเกิดผลเป็นความชอบธรรมและสันติสุขแก่บรรดาผู้รับการฝึกฝนโดยการตีสอนนั้น
12เพราะฉะนั้นจงทำให้แขนที่อ่อนแรงและเข่าที่อ่อนล้าเข้มแข็งขึ้น
— ฮีบรู
12:7-11
เรียนรู้ที่จะรักความทุกข์
ความทุกข์ไม่ใช่เรื่องง่าย นั่นเป็นประเด็น
มันยากเพราะในสถานการณ์ที่ยากลำบากเท่านั้นที่เราจะเติบโตได้จริงๆ
ความทุกข์คือการถูกท้าทายในระดับหนึ่ง และมีบางคนที่ทุกข์มากกว่าคนอื่น
และไม่ว่าความทุกข์จะเป็นทางกาย วิญญาณ อารมณ์ หรือจิตใจ จุดประสงค์ของความทุกข์นั้นควรถูกมองว่าเป็นโอกาสในการเติบโต
ฉันมักจะคิดถึงการออกกำลังกายและที่พวกเราออกกำลังกาย
ก็เพื่อที่จะมีรูปร่างหรือสร้างกล้ามเนื้อ คุณต้องออกแรงกายอย่างหนักหน่วง
ทั้งๆที่รู้ว่ามันเจ็บโดยเฉพาะเมื่อคุณเพิ่งเริ่มต้น คุณจะรู้สึกเจ็บ
สำหรับคนส่วนใหญ่มันไม่สนุก แต่ผลลัพธ์ของความเจ็บปวดและความยากลำบากนั้นคุ้มค่ามาก
“และเราหวังใจมั่นคงในท่านเพราะรู้ว่าท่านร่วมในความทุกข์ยากกับเราฉันใด
ท่านย่อมร่วมในการปลอบประโลมใจกับเราด้วยฉันนั้น”
- 2
โครินธ์ 1:7
พระคัมภีร์บางเล่มแปลคำว่าการให้กำลังใจเป็นการปลอบใจ
ซึ่งฉันคิดว่ามันช่วยให้เข้าใจความจริงของข้อนี้ได้มากขึ้น
สิ่งที่เปาโลกำลังเผชิญคือความทุกข์ทรมานซึ่งไม่ได้เป็นเพียงวิธีของพระเจ้าในการทำให้ชีวิตเรายากขึ้นเพื่อที่พระองค์จะทรงเฝ้าดูความเจ็บปวด
อันที่จริง พระองค์กำลังตรัสว่าโดยความทุกข์ทรมานของเรา
ดวงตาของเราได้เปิดขึ้นในความหมายที่ว่าสามารถมองเห็นพระเจ้าในมุมมองใหม่
ความทุกข์ช่วยเราให้เห็นพระเจ้าได้อย่างไร
ความสุขมีแก่ผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์
เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า
-มัทธิว 5
การเป็น “ใจสะอาด” หมายความถึงความบริสุทธิ์ของชีวิต
เห็นได้ชัดว่าเมื่อเรายอมทำบาป เราจะ "เห็นพระเจ้า" ได้ยากขึ้น
ฉันเคยได้ยินแนวคิดนี้อธิบายแบบนี้ นึกภาพพระคุณของพระเจ้าเป็นเหมือนสายฝน
พระเจ้าประทานพระคุณของพระองค์อย่างต่อเนื่อง หลั่งลงมาที่เรา แต่เมื่อเราทำบาป
ก็เหมือนเรากางร่มขึ้นคลุมศีรษะของเรา พระคุณไม่ได้หยุดตก
แต่ถูกป้องกันไม่ให้มาถึงเรา จนกว่าร่มจะถูกทิ้ง หรือจนกว่าเราจะได้รับการอภัยและพ้นจากบาป
พระคุณของพระเจ้าจะหลั่งไหลเข้ามาในชีวิตเราอีกครั้ง
พระเจ้าไม่ต้องการให้เราทนทุกข์เพราะเห็นแก่ความทุกข์
แต่เพื่อเราจะได้รู้จักพระองค์ดีขึ้น นักบุญทั้งหลายรู้เรื่องนี้ อันที่จริง
หลายคนไม่เพียงยินดีรับความทุกข์เท่านั้น แต่ยังปรารถนาด้วย นั่นฟังดูบ้าสำหรับเรา
แต่มันสมเหตุสมผลเมื่อเรามองเห็นความทุกข์เป็นโอกาสมากกว่าเป็นภาระ
“ “สำหรับฉัน
การอธิษฐานคือหัวใจที่พองโต เป็นการมองดูสวรรค์อย่างเรียบง่าย
เป็นเสียงร้องของการยอมรับและความรัก โอบรับทั้งการทดลองและปีติ”
- St. Thérèse of Lisieux
เป็นที่แน่ชัดถ้าเราดูตัวอย่างการทนทุกข์ของพระเยซู
พระองค์ได้รับความทุกข์ทรมานสูงสุดทั้งหมดเพื่อคุณและฉัน แต่นั่นไม่ใช่จุดจบของมัน
พระองค์ไม่ทรงทนทุกข์ทรมาน การทนทุกข์ของพระองค์มีไว้เพื่อความรอดของเรา
ซึ่งแสดงให้เราเห็นว่าพระเจ้ารักอย่างไร ความเจ็บปวดของพระองค์ทำให้เราใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น
นี่อาจเป็นประโยชน์สำหรับคุณที่จะนึกถึงเรื่องนั้นในครั้งต่อไปที่คุณกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก:
พระเจ้าจะทรงประทานโอกาสให้ฉันเติบโตผ่านความทุกข์ยากนี้ได้อย่างไร
การเรียนรู้ไม่เพียงแต่เป็นการยอมรับความทุกข์เท่านั้น แต่ยิ่งกว่านั้นคือการโอบรับและ
ปรารถนามัน นี่คือการเดินในทางของนักบุญ
พวกเขาสามารถเห็นความทุกข์ในมุมมองใหม่และรับผลประโยชน์จากพลังของมัน
จากความทุกข์ยากไปสู่ความยินดี
หนึ่งในเพลงโปรดของฉันคือ How He Loves Us
ของ David Crowder Band มันพูดถึงจุดที่เราได้สำรวจที่นี่ในวันนี้
ความทุกข์ยากเราย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเราหลีกเลี่ยงมันไม่ได้
เพราะสิ่งเหล่านี้จำเป็นต่อชีวิตและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า
โดยผ่านความทุกข์ทรมานของเรา
เราจะเปิดกว้างขึ้นเพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา
และความทุกข์ยากลำบากจะถูกป้องกันด้วยพระพรแห่งพระคุณของพระเจ้าในชีวิตของเรา
“ทันใดนั้น
ข้าพเจ้าก็ล่วงรู้ถึงความทุกข์ยากเหล่านี้ที่บดบังด้วยรัศมีภาพ
และฉันก็รู้ว่ามันสวยแค่ไหน และความรักของพระองค์ที่มีต่อฉันนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด”
- วง David Crowder 'How He Love'
เป็นภาพสะท้อนสมัยใหม่ที่ผู้เขียนสดุดีกล่าวว่า:
“11พระองค์ทรงเปลี่ยนการคร่ำครวญของข้าพเจ้าให้กลับกลายเป็นการเต้นรำ
พระองค์ทรงถอดชุดผ้ากระสอบสำหรับไว้ทุกข์ของข้าพเจ้าออก
และสวมความชื่นบานให้แทน
12เพื่อจิตใจของข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์และจะไม่นิ่งเงียบ
ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์
ข้าพระองค์จะขอบพระคุณพระองค์เป็นนิตย์
— สดุดี
30:12
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ
Leadersthatfollow
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น