แบ่งปันความเชื่อของคุณ
บางทีคุณอาจกลัวที่จะแบ่งปันความเชื่อของคุณเพราะคุณไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
หรือบางทีคุณอาจจะแบ่งปันข่าวประเสริฐแก่โลกนี้ไปแล้วแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะผู้คนไม่ได้มอบชีวิตของเขาไว้กับพระคริสต์
จนคุณเกิดสงสัยว่า เอ๊ะ! นี่ฉันกำลังทำอะไรพลาดไปหรือเปล่า?
ใช่แล้ว คุณอาจไม่สามารถเปิดใจของใครบางคนต่อความจริงของข่าวประเสริฐได้—แต่พระเจ้าทรงทำได้ โดยพระวิญญาณของพระองค์
อัครสาวกเปาโล ก็พูดไม่เก่ง แต่พระเจ้าใช้เขาเพราะเขาพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อนำทาง
(ดู 1 โครินธ์ 2:1-5) ซึ่งพระเจ้าได้ทรงนำทางคนอื่นๆ มากมายที่พระคัมภีร์ได้กล่าวถึง เช่น โมเสส ที่ในตอนแรกเขาขอให้พระเจ้าหาคนอื่นมาทำหน้าที่แทนเขาเพื่อนำชาวอิสราเอลไปยังดินแดนแห่งพระสัญญา
หรือโยนาห์ที่ไม่คิดว่าชาวนีนะเวห์ผู้ชั่วร้าย จะสมควรได้รับความเมตตาจากพระเจ้า
เขาจึงพยายามวิ่งหนีไปจากพระเจ้าเพราะเขาไม่เห็นด้วยกับพระเจ้า
จงจำไว้ว่าพระเจ้าไม่ได้เรียกผู้ที่ดีพร้อมมารับใช้พระองค์ และพระองค์คือผู้จัดเตรียมการทรงเรียก
และในฐานะคริสเตียน เราทุกคนได้รับเรียกให้แบ่งปันถึงสิ่งที่พระคริสต์ทรงทำ ถ้อยคำสุดท้ายของพระคริสต์บนแผ่นดินโลกคือ
“จงไปสร้างสาวกของบรรดาประชาชาติ” (มัทธิว 28:19) งานแบ่งปันความเชื่อของเราจึงไม่ใช่แค่คำแนะนำให้ทำ แต่เป็นคำสั่ง และพระเจ้าจะอยู่กับเราเมื่อเราเชื่อฟังพระองค์
แล้วฉันควรจะทำอย่างไร?
ฉันควรเริ่มต้นยังไงดี?
วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการแบ่งปันความเชื่อของคุณคือการดำเนินชีวิตตามแบบพระเจ้า
ผู้ที่ไม่ใช่เชื่อในพระเจ้ามักมองหรือรู้สึกคลางแคลงใจว่าคริสเตียนเองก็เป็นคนหน้าซื่อใจคด
เพราะมีหลายคนพูดสอนถึงสิ่งหนึ่งแต่กลับทำอีกอย่างหนึ่ง คุณจึงต้องแสดงให้คนใกล้ชิดเห็นว่าคุณห่วงใยเขา—และอยากใช้เวลากับพวกเขาจริงจัง
จริงใจ ใส่ใจความต้องการของพวกเขา และเสนอตัวที่จะรับฟังเมื่อพวกเขามีปัญหา
คุณอาจไม่สามารถตอบคำถามของพวกเขาได้ทั้งหมด แต่พวกเขาจะไม่สามารถปฏิเสธความเป็นจริงของสิ่งที่พระคริสต์ได้ทรงทำในชีวิตของคุณ
แต่หากคุณพบว่าสิ่งนี้มันทำได้ยากมาก บางทีนี่อาจเป็นสัญญาณที่กำลังเตือนคุณว่าพระเจ้าต้องการให้คุณใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
ส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งในการแบ่งปันความเชื่อของคุณคือการอธิษฐานเผื่อคนที่คุณพูดคุยด้วย
หากคุณนึกไม่ออกว่าจะแบ่งปันข่าวประเสริฐกับใครได้บ้าง วันนี้ให้คุณอธิษฐานขอให้พระเจ้าส่งใครสักคนเข้ามาในชีวิตของคุณ คนที่ต้องการพระองค์จริงๆ
สร้างนิสัยในการอ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน และไปโบสถ์ สิ่งเหล่านี้เราไม่ควรทำเพื่อสร้างความสนใจหรือเพื่อหาประโยชน์
แต่เราทำเพื่อช่วยให้เราเติบโตในศรัทธาของเราเอง
การหลงใหลในพระคริสต์จะช่วยให้คนอื่นเห็นว่าคุณมีอะไรที่แตกต่างออกไปจากคนทั่วไป และพวกเขาจะอยากรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
คุณยังสามารถสะท้อนถึงพระคริสต์ผ่านคำพูดที่มีเมตตากรุณา ความอดทนอดกลั้น มีอารมณ์ที่อ่อนโยน และรักคนที่มีนิสัยไม่น่ารัก การเฝ้าระวังในสิ่งที่คุณรับชมรับฟัง(คือการเลือกดูและเลือกฟังในสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย)
อย่างระมัดระวัง และปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเคารพ และให้เกียรติ
ในขณะเดียวกัน นอกจากจะดำเนินชีวิตตามแบบพระเจ้า เรายังต้องแบ่งปันข่าวประเสริฐ
เพราะผู้คนในยุคนี้จำเป็นต้องได้ยินข่าวประเสริฐอีกมากนัก—เพื่อที่เขาจะได้ยินว่าพระเจ้ารักพวกเขา และรู้ว่าพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อพวกเขาและเพื่อพวกเขาจะได้ชีวิตนิรันดร์
โรม 10:13-14 กล่าวว่า ‘ทุกคนที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด’
การนำคนอื่นมารู้จักและเชื่อในพระเจ้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าพวกเขาไม่รู้จักพระนามพระองค์ เขาจะเชื่อพระองค์ได้อย่างไร? พวกเขาจะเรียกหาคนที่พวกเขายังไม่รู้จักได้อย่างไร? สุดท้ายแล้วพวกเขาจะได้ยินเรื่องราวของพระเจ้าและรู้จักพระองค์ได้อย่างไรหากไม่มีใครสั่งสอนหรือแบ่งปันข่าวประเสริฐนี้ให้แก่พวกเขา?
4 ขั้นตอนง่ายๆในการแบ่งปันข่าวประเสริฐ:
1. บอกพวกเขาเกี่ยวกับแผนของพระเจ้า นั่นคือ สันติสุขและชีวิต
พระเจ้ารักเราและต้องการให้เราสัมผัสกับสันติสุขและชีวิตที่พระองค์มอบให้
พระคัมภีร์กล่าวว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์
เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3:16)
พระองค์ทรงมีแผนสำหรับเราทุกคน
2. แบ่งปันถึงปัญหา เรื่อง การถูกแยกจากพระเจ้า การอยู่อย่างสันติกับพระเจ้าไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เพราะโดยธรรมชาติแล้วเราทุกคนต่างแยกจากพระองค์
พระคัมภีร์กล่าวว่า “เพราะว่าทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า”
(โรม 3:23) พระเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์
แต่เราเป็นมนุษย์และไม่ได้มาตรฐานที่สมบูรณ์แบบของพระองค์ เราจึงเป็นคนบาป
และ “ค่าจ้างของความบาปคือความตาย” (โรม 6:23)
มีทางเดียวที่เชื่อมเราไว้กับพระเจ้า นั่นคือ พระเยซู พระองค์เป็นทางนั้น
และเป็นทางเดียว
3. พูดถึงการเยียวยาของพระเจ้า—ไม้กางเขน เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักของพระเจ้าที่ช่วยเชื่อมช่องว่างระหว่างคุณกับพระองค์
เมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนและฟื้นจากความตาย
พระองค์ทรงชดใช้ความผิดบาปของเรา พระคัมภีร์กล่าวว่า “พระองค์เองทรงแบกบาปของเรา’
ในพระกายของพระองค์บนไม้กางเขน เพื่อเราจะได้ตายต่อบาปและมีชีวิตอยู่เพื่อความชอบธรรม
และด้วยบาดแผลของพระองค์พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย’” (1 เปโตร 2:24)
4. การตอบสนองของคุณ—การรับพระคริสต์เข้ามาในชีวิตและจิตใจ ก็เท่ากับว่าคุณได้ก้าวข้ามสะพานที่นำไปสู่การเป็นครอบครัวของพระเจ้าเมื่อคุณยอมรับของประทานแห่งความรอดฟรีของพระคริสต์
พระคัมภีร์กล่าวว่า “ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์
ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า
13คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ
หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์ หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า” (ยอห์น
1:12-13)
ในการรับพระคริสต์ สิ่งที่ตัวบุคคลต้องทำ มี 4 สิ่ง:
-ยอมรับว่าคุณเป็นคนบาป
-ขอการให้อภัยและเต็มใจที่จะหันหลังให้กับบาปของคุณ
-เชื่อว่าพระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อคุณบนไม้กางเขน
-รับพระคริสต์เข้ามาในหัวใจและชีวิตของคุณ
โรม 10:13 กล่าวว่า “ผู้ที่ร้องทูลออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด”
นี่คือคำอธิษฐานที่คุณสามารถอธิษฐานเพื่อรับพระคริสต์:
“ข้าแต่พระเยซูที่รัก ข้าพระองค์รู้ว่าข้าพระองค์เป็นคนบาป
และข้าพระองค์ทูลขอการอภัยจากพระองค์ ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพราะบาปของข้าพระองค์และฟื้นจากความตาย
ข้าพระองค์วางใจและจะติดตามพระองค์ในฐานะพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพระองค์ โปรดนำทางชีวิตของข้าพระองค์และช่วยให้ข้าพระองค์ทำตามความประสงค์ของพระองค์
อธิษฐานในพระนามของพระองค์ อาเมน”
5 สิ่งที่คุณต้องจำ ในการแบ่งปันความเชื่อ
1. เข้าใจว่าชีวิตของเราเองก็เป็นส่วนสำคัญในการเป็นพยาน เพราะถ้าความสัมพันธ์ของเรากับพระคริสต์ยังไม่สำคัญ
เราก็ไม่มีอะไรไปแบ่งปันผุ้อื่นมากนัก ผู้คนไม่เพียงแต่ฟังคำพูดของคุณ แต่พวกเขายังมองมาที่การดำเนินชีวิตของคุณในแต่ละวันอีกด้วย
ใช่แล้ว เรายังล้มเหลวได้ และไม่ใช่แบบอย่างที่ดีเสมอไป ดังนั้นความหวังเดียวของเราคือการมาหาพระเจ้าและยอมจำนนต่อพระองค์
เพราะมีแต่พระเจ้าที่ทำให้ทุกสิ่งเป็นจริงได้
2. ตระหนักว่าเราได้รับสิทธิในการฟังเสียงของผู้อื่นโดยให้เราตั้งใจฟังผู้อื่นอย่างจริงใจ คนทุกคนต่างก็มีเรื่องราว
คุณไม่สามารถแบ่งปันอะไรได้หากคุณไม่ฟังเขาก่อน
พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเยซูทรงเป็นเพื่อนกับคนบาป
นั่นคือตัวอย่างของเรา—การเป็นเพื่อน การรับฟังผู้คน ดูว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร ต้องการอะไร แล้วพาพวกเขาไปในที่ที่ต้องไป
3. รับรู้ว่าผู้คนกำลังมองหาวิธีเยียวยารักษา
เมื่อคุณไปพบแพทย์ คุณจะไม่พูด หรอกว่า คุณหมอคะ “ฉันเป็นมะเร็งคะ”แต่ คุณจะเริ่มอธิบายอาการของคุณก่อน
นั่นคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่เป็นอยู่ คือ การรับรู้ถึงอาการที่เกิดขึ้นกับตนเอง เช่น
"ฉันเหงาอยู่นะ ฉันกำลังทุกข์ทรมานจากความสัมพันธ์ที่แตกสลายอยู่นะ
ฉันเครียดอยู่นะ ฉันขัดสนอยู่นะ ชีวิตฉันมีแต่ความมืดมนซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร”
แล้วเราจะแบ่งปันพระคริสต์ให้กับคนที่มีอาการหนักใจเหล่านี้ได้อย่างไร? วิธีรักษาที่ดีที่สุด คือ พระเยซูคริสต์ พระเยซูไม่ได้สิ้นพระชนม์เพื่ออาการเหล่านี้
แต่พระองค์สิ้นพระชนม์เพราะบาปของมนุษย์ คุณเชื่อไหมว่า ผู้คนส่วนใหญ่จะไม่ตื่นนอนขึ้นมาแล้วพูดคำแรกว่า
“ฉันต้องการพระเยซูในชีวิตของฉัน” แต่พวกเขาจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับ การจดจ่ออยู่กับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิต โดยเริ่มต้นด้วยการบ่นด่าเล็กๆน้อยๆ
ในฐานะที่คุณเป็นผู้พยายามที่จะช่วยเหลือผู้ที่หลงหาย คุณต้องเริ่มต้นด้วยการดูอาการเบื้องต้นของพวกเขาแต่ละคนก่อน
แสดงให้พวกเขาเห็นอาการของตนเอง(ความบาปของตนเอง) และพาพวกเขาไปสู่การรักษาที่ดีที่สุด (คือ พระเยซู)
4. ทำให้มันง่ายขึ้น ข่าวประเสริฐนั้นเรียบง่ายอยู่แล้ว พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเรา
พระองค์ถูกฝัง และพระองค์ฟื้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อเรารับพระเยซูเข้ามาในชีวิต เราจำเป็นต้องละทิ้งสิ่งที่ไม่ดีในชีวิตของเรา
เพื่อเป็นการยอมรับสิ่งที่พระเยซูทรงทำบนไม้กางเขนเพื่อเราและรับพระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
จงอย่าทำให้งานประกาศมันซับซ้อน
หลายครั้งที่เราเน้นใช้สิ่งต่าง ๆในการประกาศ เช่นเรื่องนิกาย หรือหลักคำสอนต่างๆ
หรือการใช้คำศัพท์ทางศาสนาที่ผู้คนจำนวนมากไม่สามารถเข้าใจง่าย ถ้าเราทำให้มันยากเกินกว่าที่คนทุกคนจะเข้าถึงได้
เราอาจทำให้พวกเขาสับสนและเกิดการสร้างกำแพงกั้นขึ้นในใจ เราจึงต้องระวังในเรื่องนี้
และหาวิธีอธิบายข่าวประเสริฐในแบบที่ผู้คนสามารถเข้าใจได้ง่าย
5. เน้นถึงความรักของพระเจ้า ยอห์น 3:16 กล่าวว่า
“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์
เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” พระเจ้าเริ่มต้นด้วยความรักและนั่นคือสิ่งที่เราต้องเริ่มต้นด้วยเช่นกัน
ท้ายที่สุด เราต้องอธิบายว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเป็นคนบาปและได้ละเมิดมาตรฐานของพระเจ้า
และด้วยเหตุนี้จึงมีการพิพากษา “ค่าจ้างของความบาปคือความตาย” (โรม 6:23 ) แต่อย่าเริ่มต้นงานประกาศด้วยเรื่องนี้ มันอาจดูน่ากลัวไป เพราะผู้คนส่วนใหญ่ย่อมรู้ดีรู้ว่าตัวเองก็เคยทำผิดมามาก่อน
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ต้องให้มั่นใจว่าพวกเขาได้รู้ว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรักและพระองค์ยังคงเปิดกว้างเสมอที่จะให้อภัยทุกคน ไม่ว่าจะเคยทำผิดอะไรมา ขอแค่กลับใจและหันหลังให้บาปอย่างจริงจัง จริงใจ
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ
billygraham.org
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น