มีศรัทธาในช่วงวิกฤตการเงิน
ช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิต มักบังคับให้เราตั้งถามคำถามลึก ๆ ในใจเสมอ ไม่ว่าคุณจะเชื่อในพระเจ้าหรือไม่
แต่อย่างน้อย คุณต้องยอมรับว่าคุณไม่มีคำตอบทั้งหมดสำหรับทุกคำถาม ใช่แล้ว เราต้องการคำแนะนำและความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเอง
ศรัทธาเป็นสิ่งจำเป็นตลอดเวลา แต่สิ่งสำคัญจริงๆ ที่ต้องพึ่งพาศรัทธาในช่วงเวลาที่ยากลำบากและช่วงวิกฤต
ศรัทธาเตือนเราว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงควบคุม และเราต้องพึ่งพาพระองค์เพื่อพาเราผ่าน
แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะมืดมิดและไม่มั่นคง แต่ พระองค์ทรงมั่นคง และพระองค์พร้อม
เต็มใจและสามารถค้ำจุนเราให้ผ่านทุกสิ่ง
พระคัมภีร์กล่าวอย่างไรเกี่ยวกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจ? หลักการ 5
ข้อในการวางใจพระเจ้าด้วยเรื่องการเงินของคุณมีดังต่อไปนี้
1.
นำความกลัวและความวิตกกังวลของคุณไปหาพระเจ้า เพราะพระองค์สามารถจัดการได้
พวกเราทุกคนกำลังต่อสู้กับความกลัวในทุกวันนี้ บางทีคุณอาจรู้สึกวิตกกังวลตั้งแต่ลืมตาขึ้นในตอนเช้า คนรักของฉันจะเจ็บป่วยไหม? ฉันจะหารายได้หลังเลิกงานได้อย่างไร? เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้หรือไม่?
พวกเราบางคนสาละวนอยู่กับความคิดเหล่านั้นและเริ่มคิดวนซ้ำไปมา
บ้างก็ก้มหน้าก้มตาทำไปเพื่อให้จบไปวันๆ
บ้างก็หาที่ปรึกษาทางการเงิน
แต่มีวิธีที่สามในการจัดการกับความกลัว และวิธีที่ดีที่สุดก็คือ การส่งต่อความวิตกกังวลของคุณให้พระเจ้า
พระเจ้าเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของเรา
ทรงเป็นความช่วยเหลือในยามทุกข์ยาก ดังนั้นเราจะไม่กลัว สดุดี 46:1–2 (NIV)
สิ่งแรกที่เราต้องทำให้ถูกต้องก็คือ:
พระเจ้าทรงห่วงใยความทุกข์ของเราอย่างสุดซึ้ง
และพระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เรามอบภาระของเราให้กับพระองค์ (1 เปโตร 5:7) ให้คุณทูลขอต่อพระองค์? พระเจ้าอยู่ไม่ไกล พระองค์ทรงอยู่ใกล้ผู้ที่ใจแหลกสลายและสับสน
พระองค์ต้องการเอาความกังวลของคุณไปจากคุณ คำถามคือ
คุณยอมให้พระองค์ยกภาระของคุณหรือไม่?
คุณสามารถแลกเปลี่ยนความกลัวเพื่อรับเอาสันติสุขของพระเจ้าได้ หากคุณเต็มใจที่จะยื่นคำร้องต่อพระองค์ (ฟิลิปปี 4:6–7) ความสงบสุขของพระองค์นั้นทรงพลัง! เป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยคลายความหนักใจของคุณอย่างแท้จริง เมื่อคุณรู้สึกว่าคุณไม่สามารถหายใจได้เต็มท้อง แทนที่คุณจะจมอยู่กับความวิตกกังวลในสถานการณ์ต่างๆในใจของคุณ จงปล่อยมันไป วางคำขอของคุณต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า และสัมผัสถึงความรักและการดูแลจากพระองค์ รับรู้ถึงการที่พระองค์ทรงยกของหนักๆนั้นออกจากบ่าของคุณ
วันนี้จงนำความกังวลของคุณไปหาพระเจ้า พระองค์ทรงใหญ่พอที่จะรับมือพวกมันได้
2. วางใจพระเจ้าด้วยเงินของคุณ เพราะพระองค์เป็นเจ้าของมันอยู่ดี
มีคำโบราณที่เราอยากแนะนำให้คุณรู้จัก นั่นคือ การดูแล
โดยพื้นฐานแล้วหมายความว่าคุณได้รับมอบหมายให้ดูแลบางสิ่งที่เป็นของคนอื่น
การจัดการทีมบุคคลหรือทรัพยากรในที่ทำงานจีงเป็นตัวอย่างหนึ่งของการดูแลเอาใจใส่
คุณเห็นไหมว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปที่ใด? ใช่แล้ว คุณเป็นผู้ดูแลเงินและทรัพยากรที่พระเจ้ามอบให้คุณ
แน่นอนว่าคุณต้องรับผิดชอบส่วนตัวและทำงานหนัก ที่จริงแล้ว
เนื่องจากพระเจ้าวางใจคุณในงานนี้ คุณจึงควรจริงจังกับงานนี้! แต่สุดท้ายแล้ว
ความสามารถของคุณในการหาเงินและสร้างความมั่งคั่งนั้นล้วนมาจากพระเจ้า
ดังที่เราจะเห็นในข้อต่อไปนี้:
คุณอาจพูดกับตัวเองว่า “ด้วยพลังและกำลังมือของฉัน ฉันได้ผลิตความมั่งคั่งนี้ด้วยตัวฉันเอง” แต่จงรำลึกถึงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเสมอว่า เพราะพระองค์คือผู้ทรงประทานความสามารถในการสร้างความมั่งคั่งแก่ท่าน
- เฉลยธรรมบัญญัติ 8:17–18 (NIV)
คุณสามารถวางใจพระเจ้าด้วยเงินที่มอบให้คุณ
เพราะพระองค์ทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่งภายใต้ดวงอาทิตย์อย่างแท้จริง! พระองค์เป็นแหล่งที่มาสูงสุดของการรักษาความปลอดภัยของเรา
ดังที่ 1 ทิโมธี 6:17 (NIV) กล่าวไว้
คุณไม่ควรหวังในความมั่งคั่ง แต่ให้ “หวังในพระเจ้า ผู้ทรงประทานทุกสิ่งอย่างมากมายแก่เราเพื่อความเพลิดเพลินของเรา”
3. ตระหนักถึงการพึ่งพาพระเจ้าของคุณ
ดังนั้น หากพระเจ้าสร้างและเป็นเจ้าของทุกสิ่ง (ยอห์น 1:1–3)
และพระองค์ทรงมอบเราให้เป็นผู้ดูแลของพระองค์
นั่นหมายความว่าเราสามารถพึ่งพาพระองค์ในการจัดเตรียมได้ วันนี้เราเลยต้องถามตัวเองก่อนว่า
เราเชื่อไหมว่าพระองค์ดี?
ลองมาดูข้อความนี้จากมัทธิวที่พระเยซูทรงสอนสาวกของพระองค์ในคำเทศนาที่โด่งดังที่สุดเรื่องหนึ่งของพระองค์
เพราะฉะนั้น เราบอกท่านว่า อย่าวิตกกังวลถึงชีวิตของท่าน . .
ดูนกในอากาศ พวกเขาไม่ได้หว่านหรือเก็บเกี่ยวหรือเก็บไว้ในยุ้งฉาง
แต่พระบิดาบนสวรรค์ของคุณทรงเลี้ยงพวกมัน คุณไม่มีค่ามากกว่าพวกมันหรือ? มัทธิว 6:25–27 (NIV)
ให้คุณลองมองออกไปนอกหน้าต่างของคุณ
หวังว่าคุณจะอยู่ในที่ที่คุณสามารถเห็นนกและได้ยินเสียงพวกมันร้องเพลงได้
ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่เป็นไรใช่ไหม แน่นอนไม่มีนกสักตัวเดียวที่เฝ้าดูด้วยความหวาดกลัวในขณะหุ้นดาวโจนส์กำลังดิ่งลง
ไม่มีพวกมันสักตัวตุนกระดาษชำระและเจลทำความสะอาดมือไว้ ใช่! มันอาจฟังดูไร้สาระ
แต่ฟังนะไว้นะ: พวกมันเป็นแค่นก! ส่วนคุณเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างมาอย่างดีตามแบบพระฉายของพระเจ้า
คุณไม่คิดว่าพระองค์จะห่วงใยคุณมากกว่านกกระจอกและนกอื่นๆหรือ?
พระเจ้าไม่ทรงกังวลเรื่องห่วงโซ่อุปทานและภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในโลกใบนี้ พระองค์ให้อาหารนกทุกวันและคุณควรเชื่อว่าพระองค์จะดูแลลูก
ๆ ของพระองค์ด้วยเช่นกัน
4. ฝึกความพอใจทั้งในเวลาที่ดีและไม่ดี
คุณไม่สามารถนำสิ่งของติดตัวไปด้วยเมื่อคุณจากโลกนี้ไป! เราหลายคนทำงานอย่างบ้าคลั่งเพื่อสะสมทรัพย์สิ่งของบนโลกนี้
พระคัมภีร์เตือนเราว่าอย่าพยายามสะสมทรัพย์สมบัติของเรา
แต่กลับสนับสนุนให้เรา "มั่งมีจำเพาะในพระเจ้า" แทน (ลูกา 12:21 TNCV) ซึ่งหมายความว่าให้เราใช้ทุกอย่างในชีวิตของเรา
(รวมถึงเงินของเรา) เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
การวางใจในการจัดเตรียมของพระเจ้าจะนำคุณไปสู่ความพอใจ ให้เราขอบคุณสำหรับสิ่งที่เรามี
แนวคิดนี้ปรากฏอยู่ทั่วพระคัมภีร์ ใช้ข้อนี้ในโยบ ตัวอย่างเช่น: "ฉันมาจากครรภ์มารดาตัวเปล่าและฉันจะจากไป
พระเจ้าประทานและพระเจ้าได้เอาไปแล้ว ขอพระนามของพระเจ้าได้รับการสรรเสริญ"
โยบ 1:21 (NIV)
เมื่อคุณวางใจในพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ประทาน คุณมีอิสระที่จะพอใจกับสิ่งที่คุณมีในตอนนี้ มันช่วยให้คุณคลายการยึดติดกับทรัพย์สินของคุณ ความพอใจเป็นนิสัยที่สำคัญอย่างยิ่งในการฝึกฝนเมื่อคุณมีวันเวลาที่ดีและเมื่อคุณต้องเผชิญกับวันเวลาที่ไม่ดี การมีใจที่รู้ขอบพระคุณจะเปลี่ยนมุมมองของคุณเพราะมันจะเปลี่ยนจุดโฟกัสของคุณจากสิ่งที่คุณไม่ต้องการ(ความทุกข์ยากในช่วงเวลานั้นๆ) มาเป็นโฟกัสในสิ่งที่คุณมีแทน หรือพระพรต่างๆที่คุณเคยได้รับมา
ฉันได้เรียนรู้เคล็ดลับของการพอใจในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะมีอาหารเพียงพอหรือหิวโหย ไม่ว่าจะอยู่อย่างพอเพียงหรือขาดแคลนก็ตาม ข้าพเจ้าสามารถกระทำทั้งหมดนี้ได้โดยพระองค์ผู้ทรงประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า
- ฟิลิปปี
4:12–13 (NIV)
ความสัมพันธ์กับพระเจ้าทำให้คุณปราศจากความกังวลและการเปรียบเทียบ คุณเพียงแค่ใช้เวลาวันละครั้งในช่วงเวลาแห่งความอุดมสมบูรณ์หรือช่วงวิกฤต ความอิ่มเอมใจเป็นกุญแจสำคัญในการประสบกับความชื่นชมยินดีและการรู้ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่ง
5. จงเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่พระเจ้ามีต่อคุณ
หากคุณกำลังใช้หลักการสี่ข้อแรกที่เราพูดถึง
คุณจะมีอิสระที่จะเพลิดเพลินกับการเงินของคุณโดยไม่ต้องถูกควบคุม คุณจะรับรู้ถึงความเอื้ออาทรของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ
และคุณจะต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นในลักษณะเดียวกัน!
หากคุณมีลูก
ลองนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่คุณมีของขวัญชิ้นพิเศษให้พวกเขา
บางทีคุณอาจทำให้พวกเขาประหลาดใจกับลูกสุนัขตัวใหม่ในเช้าวันคริสต์มาส
หรือในที่สุดคุณก็ซื้อ iPhone เครื่องแรกให้พวกเขา
พ่อแม่ส่วนใหญ่ แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์แบบนัก แต่ก็ต้องการทำให้ดีที่สุด เพื่อดูแลลูกๆ
ของพวกเขาอย่างดีที่สุด เราจะพบความสุขอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นใบหน้าของลูกๆมีรอยยิ้มกว้างเมื่อพวกเขาได้รับสิ่งที่พวกเขาขอ
และคุณรู้อะไรไหม พระเจ้ามีจิตใจที่เอื้อเฟื้อต่อบุตรธิดาของพระองค์เช่นเดียวกัน!
พระองค์ประทานสิ่งดีแก่ผู้ที่ขอ และทรงยินดีในความยินดีของเรา (มัทธิว 7:9–12)
ความเอื้ออาทรเป็นโรคติดต่อ เมื่อคุณได้รับสิ่งดีๆจากพระเจ้า คุณก็อยากจะส่งต่อสิ่งดีๆนั้นให้กับคนรอบข้างด้วยเช่นกัน การเป็นคนใจกว้างจึงเป็นยาแก้พิษที่ทรงพลังสำหรับความกลัวในปัญหาวิกฤตทางการเงิน ความกลัวมันมักบังคับให้คุณจดจ่อกับความต้องการของคุณเอง แต่ความเชื่อศรัทธาบอกให้คุณวางใจและจดจ่อไปที่พระเจ้า เพราะพระองค์ยิ่งใหญ่กว่าปัญหาของคุณ
นี่คือวิธีที่เรารู้ว่าความรักคืออะไร:
พระเยซูคริสต์ทรงสละพระชนม์ชีพเพื่อเรา และเราควรสละชีวิตเพื่อพี่น้องของเราเช่นกัน . .
ลูกที่รัก อย่าให้เรารักด้วยคำพูดหรือด้วยปาก แต่ด้วยการกระทำและด้วยความจริง 1
ยอห์น 3:16–18 (NIV)
พระเจ้าทรงสังเกตเห็นเมื่อเราเป็นผู้ให้ และพระองค์ทรงพอพระทัยในความเอื้ออาทรของเรา
(มัทธิว 6:2–4) และถ้าคุณขาดเงินสดก็ไม่เป็นไร เพราะการให้นั้นมีหลากหลายวิธี เช่น การให้เวลา
ความสามารถ และมิตรภาพของคุณแก่ผู้อื่น
พระเจ้าสนใจความทุกข์ของฉันไหม?
การสูญเสียนั้นเจ็บปวด มันเป็นเรื่องจริงว่าเราไม่สามารถเข้าใจความชั่วร้ายทั้งหมดในโลกได้ และมันเป็นคำตอบของมนุษย์ส่วนใหญ่ที่จะตั้งคำถามว่า
พระเจ้าอยู่ที่ไหนในเมื่อฉันต้องเผชิญสิ่งเหล่านี้? ทำไมพระองค์ไม่ทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยฉัน?
และถ้าคุณต้องการที่จะรู้ว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหนท่ามกลางความทุกข์ยาก
สิ่งที่คุณต้องทำคือนึกภาพพระเยซูบนไม้กางเขน
หากคุณสงสัยว่าทำไมพระองค์ไม่ทำอะไรสักอย่าง ให้นึกถึงงานที่พระองค์ทำสำเร็จเพื่อพิชิตความตายและนำความหวังมาให้เรา
พระองค์คุ้นเคยกับการสูญเสียและความเจ็บปวดเป็นอย่างดี พระองค์ทรงแบกรับเอาความผิดของเราพระองค์เสด็จมาแผ่นดินโลกและอยู่ร่วมในความแตกสลายแบบเดียวกับที่เราประสบ
และเนื่องจากพันธกิจที่พระองค์ทรงบรรลุผล เราจึงสามารถวางใจในพระองค์และมีความหวังว่าพระองค์จะทรงรักษาโรคและฟื้นฟูโชคชะตาของเราได้
แม้ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด พระเจ้าสัญญาว่าจะช่วยผู้คนของพระองค์
ปกป้องพวกเขา และทำให้สำเร็จในท้ายที่สุด
เราวางใจได้ว่าพระองค์จะทรงทำเช่นเดียวกันสำหรับเรา ดังที่ Dave Ramsey พูดว่า:
"จำไว้ว่าในที่สุด
มีเพียงหนทางเดียวที่จะนำไปสู่สันติภาพทางการเงิน นั่นคือการดำเนินชีวิตในทุกวันกับเจ้าชายแห่งสันติภาพ
นั่นก็คือพระเยซูคริสต์"
คำอธิษฐาน
ทูลขอความอุดมสมบูรณ์สำหรับการเงิน
ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ ข้าพระองค์หมดหนทางเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ทางการเงิน
ข้าพระองค์เรียกร้องความอุดมสมบูรณ์ของพระองค์ที่จะเข้ามาแทรกแซงความไม่เพียงพอของข้าพระองค์ที่มากับพลังอันยิ่งใหญ่ของพระองค์และช่วยดึงให้ข้าพระองค์ออกจากปัญหาเหล่านี้
โปรดสอนข้าพระองค์ว่าต้องทำอย่างไร ขอพระองค์โปรดฟังคำอธิษฐาน และตอบด้วยพลังอัศจรรย์ของพระองค์
ข้าพระองค์ไม่ต้องการที่จะแค่ผ่านมันไปได้ แต่ข้าพระองค์ต้องการได้รับชัยชนะอันน่าประหลาดใจเพื่อพระสิริและพระเกียรติของพระองค์
ขอให้หนี้สินเหล่านี้หมดไป ข้าพเจ้าสรรเสริญพระเจ้าผู้ทรงประทานพรทุกสิ่ง แก่บรรดาผู้ที่แสวงหาพระองค์ ข้าพระองค์ขอขอบพระคุณสำหรับการทำตามพระสัญญาของพระองค์ ในพระนามพระเยซูเจ้า อาเมน อาเมน
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ
Ramseysolutions
ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น