วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

4 ขั้นตอนในการตอบสนองต่อความเจ็บปวดกับชีวิตการแต่งงานในทางของพระเจ้า

 


4 ขั้นตอนในการตอบสนองต่อความเจ็บปวดกับชีวิตการแต่งงานในทางของพระเจ้า

คุณและคู่สมรสของคุณไม่เหมือนใคร เช่นเดียวกับการแต่งงานของคุณ อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่คุณมีเหมือนกันกับคู่สามีภรรยาคู่อื่นๆ - คุณและคู่สมรสของคุณเป็นคนบาป เพราะความจริงนี้ คุณจะทำร้ายคู่สมรสของคุณและคู่สมรสของคุณจะทำร้ายคุณ คำถามที่เราต้องเตรียมคำตอบคือ แล้วฉันจะตอบรับอย่างไร? เราจะประนีประนอมกันอย่างไร? ฉันจะให้อภัยได้ไหม?

 สิ่งที่เราเรียนรู้ตั้งแต่เนิ่นๆ ในการแต่งงานของเราคือเราไม่สามารถควบคุมวิธีที่คู่สมรสจะพูดกับเราหรือกระทำต่อเรา เราไม่สามารถป้องกันไม่ให้คู่สมรสทำร้ายเราได้ แต่มีอย่างอื่นที่เราต้องเรียนรู้นั่นก็คือ: เราควบคุมวิธีที่เราจะตอบสนองได้อย่างสมบูรณ์

 เราไม่ได้พูดถึงสถานการณ์การล่วงละเมิดหรือการทำบาปที่ไม่สำนึกผิดอย่างต่อเนื่องซึ่งต้องมีการแทรกแซง แต่ในทางกลับกัน เรากำลังพูดถึงความเจ็บปวดตั้งแต่สามีที่พูดจาหยาบคายกับภรรยา จนถึงภรรยาที่ไม่เคารพสามี จนถึงคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่สารภาพการผิดประเวณี ความผิดจะมากหรือน้อย แต่การตอบสนองของเราต่อความผิดนั้นมีความสำคัญสูงสุด เรามาดูสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าว

เราควรเริ่มด้วยยากอบ 1:19 “พี่น้องที่รักของข้าพเจ้าจงรู้ไว้ ให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ” เมื่อคู่สมรสของเราทำร้ายเรา ไม่ว่าความผิดนั้นจะมากหรือน้อย การตอบสนองครั้งแรกของเรามักจะเป็นการเฆี่ยนตีและทำร้ายพวกเขากลับ แม้ว่าเราไม่ได้เฆี่ยนตีอย่างมีสติ แต่ปฏิกิริยาตามธรรมชาติของเราคือการป้องกันตัวเอง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ยากอบบอกให้เราทำ อันที่จริงเขาบอกให้เราทำสิ่งตรงกันข้าม “ไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ” การพูดไวไม่ใช่เรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคู่สมรสของเราทำร้ายเราด้วยคำพูดของพวกเขา การพูดช้าอาจพิสูจน์ได้ว่ายากขึ้น เช่นเดียวกับความโกรธช้าได้ ดังนั้นคุณควรทำอย่างไร?

ขั้นตอนที่ 1: ควบคุมลิ้นของคุณ

บอกคู่สมรสของคุณว่าคุณต้องการเวลาคิดก่อนตอบเพราะคุณไม่ต้องการพูดอะไรที่คุณอาจจะเสียใจได้ในภายหลัง คู่สมรสของคุณอาจรู้สึกรำคาญในขณะนั้น แต่หวังว่าในท้ายที่สุด พวกเขาจะเข้าใจสติปัญญาของคุณ และอาจทำตามตัวอย่างของคุณในครั้งต่อไปที่พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ

ตอนนี้หากคุณอยู่คนเดียว จงใช้เวลาของคุณอย่างชาญฉลาด


ขั้นตอนที่ 2: นำความเจ็บปวดของคุณมาสู่พระเจ้าด้วยการอธิษฐาน

นี่อาจเป็นเรื่องยากสำหรับคู่สมรสที่ถูกดูถูก และแทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับคู่สมรสที่เพิ่งรู้ว่าคู่ของตนนอกใจ ทำไมละ? เพราะมันยากที่จะอธิษฐานเผื่อศัตรูของเราไง แต่พระคัมภีร์บอกให้ทำอย่างนั้น พระเยซูตรัสว่า “จงรักศัตรูของคุณและอธิษฐานเผื่อผู้ที่ข่มเหงคุณ” (มัทธิว 5:44) พระองค์ยังตรัสอีกว่า “จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน จงอวยพรผู้ที่สาปแช่งท่าน จงอธิษฐานเผื่อผู้ที่ทำร้ายท่าน” (ลูกา 6:27–28)

บ่อยครั้งเมื่อเราอ่านข้อเหล่านี้ เราอาจคิดว่านี่อาจจะหมายถึงแค่คนที่ต้องการจะฆ่าเราเพราะว่าเราเชื่อในพระเจ้า แต่อย่างไรก็ตาม คำแนะนำของพระเยซูข้อนี้ใช้ได้กับคู่สมรสที่ชอบอารมณ์เสีย หรือกับผู้ที่รักการดื่ม  หรือผู้ที่ตกหลุมพรางของสื่อลามกด้วย

ในช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวด ความโกรธ และความผิดหวัง อาจเป็นการยากที่จะรู้วิธีสวดอ้อนวอน บางทีตัวอย่างต่อไปนี้อาจช่วยคุณได้

ข้าแต่พระบิดา ลูกขอขอบพระคุณสำหรับชีวิตการแต่งงานและคู่สมรสของลูก ลูกไม่รู้จะพูดอะไรตอนนี้ ลูกรู้สึกขมขื่นใจและเจ็บจนแทบจะคิดไม่ออก ลูกเหนื่อยกับการต่อสู้นี้และลูกต้องการความช่วยเหลือ พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่รู้รายละเอียดของสถานการณ์ของเรา พระองค์ทรงรู้ว่าลูกทำบาปอย่างไร โปรดช่วยลูกให้จำไว้ว่าลูกเองก็เป็นคนบาปด้วย โปรดเตือนลูกว่าพระองค์ทรงยกโทษให้ลูกครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อลูกทำให้พระองค์ขุ่นเคืองและลูกเองก็จำเป็นต้องเต็มใจให้อภัยในแบบเดียวกัน ได้โปรดสงบสติอารมณ์ลูกที โปรดช่วยลูกให้มีจิตใจที่แจ่มใส เพื่อลูกจะได้พูดด้วยความรัก ไม่ใช้อารมณ์โกรธเคือง เพื่อกันไม่ให้ลูกพูดสิ่งที่จะทำให้เจ็บช้ำมากขึ้น อย่าให้ลูกทำบาปด้วยความโกรธของลูก ได้โปรดทำให้ใจทั้งสองของเราอ่อนลง เพื่อที่เราจะก้าวผ่านมันไปได้ โปรดช่วยลูกปล่อยวางความเจ็บปวดและไม่ยึดติดกับมันเพื่อนำมาเป็นเชื้อเพลิงในการโต้แย้งอื่นๆอีก โปรดปกป้องและเสริมสร้างการแต่งงานของเรา โปรดช่วยคู่สมรสของลูกให้เห็นว่าเขาไม่เพียงแต่ทำบาปต่อลูกแต่ต่อพระองค์ด้วย โปรดนำคู่สมรสของลูกกลับใจและฟื้นฟูความไว้วางใจในชีวิตแต่งงานของเรา ลูกอธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

บางครั้งการล่วงละเมิดนั้นรุนแรงถึงขนาดที่เราไม่มีคำพูดใดๆ จะสามารถบรรยายออกมาได้และเราทำได้เพียงนั่งเงียบ ๆ ต่อพระพักตร์พระเจ้าและร้องไห้ ในช่วงเวลาเหล่านั้น เราสามารถมั่นใจได้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงช่วยเราในความอ่อนแอและวิงวอนแทนเราเมื่อเราไม่มีคำพูด (โรม 8:26-27). ช่างเป็นเครื่องเตือนใจว่าเราได้รับใช้พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และทรงพลัง!

อธิษฐานแล้ว...ฉันต้องทำอะไรต่อนะ?

 

ขั้นตอนที่ 3: ก้าวไปสู่การคืนดีด้วยของประทานแห่งการให้อภัย

ฮีบรู 12:14 จงเพียรพยายามที่จะอยู่อย่างสงบสุขร่วมกับคนทั้งปวงและเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้วก็ไม่มีใครจะได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย

โคโลสี 3:13 กล่าวว่า “จงอดทนต่อกันและยกโทษให้กันถ้าใครในพวกท่านมีความคับข้องใจต่อใครซักคน ยกโทษตามที่พระเจ้าให้อภัยคุณ” สำหรับบางคน การให้อภัยเป็นเรื่องง่ายเหมือนการหายใจแต่สำหรับคนบางคนอาจรู้สึกเหมือนว่าคุณกำลังถูกขอให้หายใจอยู่ใต้น้ำลึก แต่เราต้องใช้เวลาสักครู่ เเพื่อระลึกถึงพระเยซูบนไม้กางเขน

เราต้องนึกภาพพระองค์ถูกทารุณ ถูกเฆี่ยน เยาะเย้ย และถ่มน้ำลายใส่ เราจะเห็นพระองค์ถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขนพร้อมกับมงกุฎหนามที่ฝังลึกอยู่ในหนังศีรษะของพระองค์ ทรงชดใช้โทษสำหรับความผิดที่พระองค์ไม่ได้ก่อ พระองค์ตะโกนตอบโต้กลับไปหรือไม่? พระองค์ทรงถ่มน้ำลายตอบโต้หรือไม่? พระองค์ทรงปกป้องพระองค์เองและทรงขอร้องเหล่าทหารหรือไม่? ไม่เลย พระองค์ไม่ได้ทำอย่างนั้น แล้วพระองค์ทรงทำอะไรล่ะ? คำตอบคือ พระเยซูทรงตรัสว่า “พระบิดา ขอทรงยกโทษให้พวกเขา เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” (ลูกา 23:34)

อาจเป็นเพราะว่าเราใจอ่อนกับคู่ครองของเรา เลยทำให้เรารู้สึกอัปยศอดสูเพิ่มขึ้นไปอีกระดับเมื่อเราถูกทำร้ายโดยคนคนเดียวกันที่เคยสาบานว่าจะรักเราทั้งในยามสุขและในยามทุกข์ ทั้งในยามเจ็บป่วยและในยามสบาย สัญญาว่าจะรักและให้เกียรติยกย่องจนกว่าชีวิตจะหาไม่  เราจึงรู้สึกว่าเราถูกละเมิด เรารู้สึกว่าถูกหักหลัง และในบางกรณี การหักหลังเป็นคำเดียวที่อธิบายถึงความผิด ถึงกระนั้น เราก็ยังถูกเรียกเพื่อที่จะให้อภัยเขา

คำถามต่อไปของคุณอาจเป็น “ฉันยังต้องพูดคำว่าให้อภัย ทั้งที่ในใจของฉันจะไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น  จริงเหรอ?”

บางทีคู่สมรสของคุณไม่ได้ขอการให้อภัย หรือสำนึกผิด บางทีคุณอาจจะต้องทนทุกข์กับผลที่ตามมาของความบาปของพวกเขาเป็นเวลานาน ดังนั้นความเจ็บปวดจึงเป็นสิ่งรบกวนในชีวิตของคุณ บางทีพวกมันอาจไม่ได้แสดงสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง แต่มันจะดำเนินอยู่ต่อไปได้ แล้วคัมภีร์ ไบเบิล พูด อย่าง ไร เกี่ยว กับ การ ให้อภัย?


ขั้นตอนที่ 4: จงแทนที่ความเจ็บปวดและความโกรธของคุณด้วยความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ

เอเฟซัส 4:31-32 สรุปไว้อย่างดี โดยบอกเราว่า “จงขจัดความขมขื่น ความเดือดดาล ความโกรธ การทะเลาะวิวาท การใส่ร้าย รวมถึงการคิดร้ายทุกรูปแบบ จงมีเมตตากรุณาและเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ให้อภัยซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกับในพระคริสต์พระเจ้าให้อภัยคุณ”

กล่าวอีกนัยหนึ่งเราไม่ควรนั่งอยู่ในความโกรธของเรา เราไม่ควรจะขมขื่นต่อคู่สมรสของเราหรือใส่ร้ายพวกเขากับเพื่อนๆของเรา เราต้องกำจัดความรู้สึกเหล่านั้นและแทนที่มันด้วยความเมตตา เห็นอกเห็นใจ และให้อภัย

เช่นเดียวกับที่เรามักต้องนึกภาพของพระเยซูบนไม้กางเขนถูกตรึงที่กางเขน เราต้องนึกภาพว่ามีอะไรเกิดขึ้นอีกในขณะนั้น ขณะที่พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน สิ้นพระชนม์เพื่อคุณและคู่สมรสของคุณ พระเจ้าได้ทรงปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเพื่อเป็นการขยายพระคุณและการให้อภัยแก่บุตรธิดาของพระองค์ เมื่อเรานั่งด้วยความโกรธและความขมขื่น เมื่อเราใส่ร้ายคู่ครองของเราต่อเพื่อนเพราะเราเจ็บปวด เรากำลังเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงที่ว่าเราได้ทำบาปต่อพระเจ้าเช่นกันและพระองค์ทรงให้อภัยเราครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน

บางครั้งเราโน้มน้าวใจตนเองว่าเราไม่ได้ทำบาปมากเท่ากับที่คู่ครองของเราทำ และเราหาเหตุผลมาเพื่อระงับการให้อภัยเขา หากเป็นกรณีนี้ ก็ถึงเวลาที่คุณต้องกลับไปหาพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา คู่สมรสของลูกได้ทำบาปต่อลูกอีกครั้ง และในขณะที่ลูกรู้ว่าพระคำของพระองค์บอกให้ลูกให้อภัย ลูกเองไม่ต้องการทำมันเลย ลูกรู้สึกโกรธและคิดว่าการให้อภัย ก็เท่ากับลูกยอมรับว่า มันไม่เป็นไรที่เขาจะทำร้ายลูกอีก โปรดเตือนลูกถึงบาปของตัวเอง เตือนลูกว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องของลูก เพราะคู่สมรสของลูกได้ทำบาปต่อพระองค์ด้วย โปรดช่วยลูกให้ตายจากความต้องการของตัวเองและไม่จมอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง โปรดช่วยลูกให้มีความเห็นอกเห็นใจคู่สมรสของลูก และความปรารถนาที่จะช่วยพาเขามาหาพระองค์ด้วยการสารภาพผิดและการกลับใจ โปรดช่วยลูกให้วางสุขภาพฝ่ายวิญญาณของคู่สมรสอยู่เหนือความรู้สึกของตัวลูกเอง ลูกอธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

อีกเหตุผลหนึ่งที่เราจำเป็นต้องควบคุมความรู้สึกของตัวเองก็คือ ยากอบ 1:2-4 2พี่น้องทั้งหลายเมื่อใดที่ท่านเผชิญความทุกข์ยากนานาประการ จงถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ 3เพราะท่านรู้ว่าการทดสอบความเชื่อของท่านนั้นทำให้เกิดความอดทนบากบั่น 4จงอดทนบากบั่นให้ถึงที่สุดเพื่อท่านจะเติบโตเต็มที่และสมบูรณ์เพียบพร้อมและไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย พระคัมภีร์บอกให้เราถือเป็นความยินดีเมื่อเราต้องเผชิญการทดลองต่างๆ แต่สามีของคุณทำผิดต่อคุณไม่ใช่หรือ? ใช่..อาจจะเป็นอย่างนั้น. และฉันสามารถพูดได้อย่างตรงไปตรงมาว่าเมื่อสามีทำบาปต่อฉัน การนับว่าเป็นปีติไม่ใช่สิ่งแรกที่เข้ามาในความคิดของฉันเลยสักนิด! แต่มันเป็นสิ่งที่ฉันควรจะทำ ทำไมละ? เพราะการแต่งงานเป็นหนทางหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อชำระเราให้บริสุทธิ์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง พระเจ้าใช้ความเครียดและความกดดันในชีวิตการแต่งงานเพื่อทำให้เรามีบางอย่างที่ดูเหมือนพระคริสต์มากขึ้น

เมื่อคู่สมรสของเราทำบาปต่อเรา เรามีทางเลือกสองทาง เราสามารถทำตามการนำของโลก ตอบโต้ด้วยความโกรธ และนั่งอยู่ในความขมขื่นของเรา หรือเราสามารถไปหาพระเจ้า สวดอ้อนวอนเพื่อสันติ การให้อภัย และขอให้พระเจ้าใช้สถานการณ์นี้เพื่อทำให้คุณและคู่สมรสของคุณเป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้น

พระบิดาเจ้าข้า การแต่งงานไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เรารู้ว่ามันเป็นของขวัญที่พระองค์มอบให้เรา โปรดทรงยกโทษให้เราที่บิดเบือนของขวัญนี้และทำให้เป็นสิ่งที่มักจะทำให้พระองค์ขุ่นเคือง แทนที่จะนำเกียรติมาสู่พระองค์ โปรดช่วยให้เราแสวงหาพระองค์ก่อนสิ่งอื่นใดท่ามกลางสายหมอกของพายุชีวิตคู่ โปรดช่วยเรารู้จักให้อภัยกันในแบบที่พระองค์ทรงยกโทษให้เรา โปรดช่วยเราให้ดำเนินชีวิตตามที่เอเฟซัส 4:22-24 ที่จะละทิ้งตัวตนเก่าของเราซึ่งเป็นของวิถีชีวิตเดิมของเราซึ่งกำลังถูกทำให้เสื่อมโทรมไปโดยตัณหาอันล่อลวงของมัน และเพื่อให้จิตวิญญาณแห่งความคิดของเรารับการสร้างขึ้นใหม่ และเพื่อสวมตัวตนใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นตามแบบอย่างของพระเจ้าในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง  ลูกอธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

Crosswalk


วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

เทคนิคการแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับคู่รัก

 


เทคนิคการแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับคู่รัก

มีเทคนิคและแนวคิดในการแก้ไขข้อขัดแย้งที่เป็นประโยชน์หลายประการที่คู่รักสามารถนำมาใช้เพื่อมีส่วนร่วมในการแก้ไขความขัดแย้งในชีวิตสมรสได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข้อพระคัมภีร์ที่จะช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งในชีวิตสมรส

พระคัมภีร์เต็มไปด้วยข้อความที่เกี่ยวข้องกับความเข้มข้นระหว่างความสัมพันธ์ของบุคคล ในบทความนี้ ฉันขอเสนอข้อพระคัมภีร์ที่เป็นประโยชน์ 5 ข้อที่สามารถช่วยคุณและคู่สมรสของคุณในการนำพระคำของพระเจ้าไปใช้ในความสัมพันธ์ของคุณและในการแก้ไขข้อขัดแย้งในชีวิตสมรสของคุณ

1 อารมณ์และชีวิตการแต่งงานของคุณ

บุคคลที่โกรธช้าก็มีความเข้าใจมาก แต่บุคคลที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวยกย่องความโง่

 – สุภาษิต 14:29

คุณเคยอารมณ์เสียหรือไม่? นอกเหนือจากคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสมองของคุณในขณะนั้น พระคำของพระเจ้ายังมีปัญญาที่จะนำทางเรา เพื่อไม่เปิดโอกาสที่จะสร้างความขัดแย้งในชีวิตสมรส เพราะถ้าหากเราใช้อารมณ์มากกว่าปัญญา เราสามารถพูดและทำในสิ่งที่ไม่สมควรจะทำออกไปได้ล้านเปอร์เซ็นต์ แน่นอน

เมื่อเรายอมที่จะระบายความโกรธออกมาอย่างเต็มที่ แสดงว่าเราคิด พูด และเป็นกระทำในลักษณะที่ค่อนข้างโง่เขลา แทนที่เราจะใช้เวลาทำแบบนั้น ให้เราลองสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ  ต่อไปนี้คือวิธีที่จะช่วยเมื่อคุณรู้ตัวว่าตัวเองกำลังโกรธ ให้ทำตามขั้นตอนโดยตั้งใจเพื่อชะลอและมีส่วนร่วมกับคู่สมรสในลักษณะที่เป็นการส่งเสริมการแก้ไขข้อขัดแย้งที่ประสบความสำเร็จ

2 ปล่อยให้การแก้แค้นเป็นของพระเจ้า

เพื่อนเอ๋ย อย่าแก้แค้น แต่จงปล่อยให้พระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธ เพราะมีเขียนไว้ว่า “การแก้แค้นเป็นหน้าที่ของเราเอง เราจะคืนสนอง” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ – โรม 12:19

ความอยากที่จะเอาคืนสำหรับความผิดที่คนอื่นกระทำต่อเรานั้นค่อนข้างเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นการยากที่เราจะยกโทษและปล่อยให้ผู้กระทำความผิดได้รับการปล่อยตัวไปโดยไม่ต้องมารับผลจากการกระทำของเขาเลย แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงการแก้ไขข้อขัดแย้งในการแต่งงาน ประชากรของพระเจ้าได้รับการสนับสนุนให้ละทิ้งแรงกระตุ้นที่จะแก้แค้นแต่ให้เรามอบความขัดแย้งไว้กับพระเจ้า ยอมให้พระเจ้าทำงานในหัวใจของคู่สมรสของคุณและยอมให้พระองค์ต่อสู้เพื่อคุณ บ่อยครั้งที่บาดแผลของเราถูกขับเคลื่อนด้วยความขัดแย้งไม่รู้จบรู้สิ้น พระเจ้าจะทำงานในชั้นจิตใจที่ลึกลงไปและมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่สามารถนำมาซึ่งการแก้ไขข้อขัดแย้งและการรักษาที่พวกเราหลายคน (และคู่สมรสของเรา) ต้องการจริงๆ

3 มุ่งเน้นไปที่แง่บวก

เหตุฉะนั้นจงให้กำลังใจกันและเสริมสร้างซึ่งกันและกันขึ้นเหมือนที่ท่านก็กำลังทำอยู่แล้ว – 1 เธสะโลนิกา 5:11

มุ่งเน้นในแง่บวกและไม่คิดเชิงลบ มันอาจจะฟังดูเชย แต่แม้แต่ผู้เขียนพระคัมภีร์โบราณก็รู้ดีว่าการมุ่งเน้นในด้านบวกจะทำให้เกิดความแตกต่างที่ให้ผลดีอย่างมากในความสัมพันธ์ของเรา

เอเฟซัส 4:29 อย่าหลุดปากเอ่ยสิ่งที่ไม่สมควร แต่จงกล่าววาจาอันเป็นประโยชน์เพื่อเสริมสร้างผู้อื่นขึ้นตามความจำเป็นของเขา จะได้เป็นผลดีแก่ผู้ฟัง และได้พูดเกี่ยวกับการควบคุมภาษาเชิงลบและให้พูดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างซึ่งกันและกัน เราต้องมุ่งเน้นด้านบวกของชีวิตการแต่งงานของเราและคุณลักษณะที่ดีของคู่สมรสของเรา และเพื่อสื่อสารสิ่งเหล่านั้นให้กันและกันในทางที่ให้กำลังใจ  

4 คุณต้องมีความรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของคุณเอง

อย่าทำชั่วตอบแทนคนที่ทำชั่ว จงใส่ใจที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของทุกคน

– โรม 12:17

ความจริงก็คือพฤติกรรมของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของคนอื่น เมื่อสิ่งต่างๆ ตึงเครียดระหว่างคุณกับคู่สมรส คุณมีอิสระที่จะเลือกคำตอบของคุณเอง คุณสามารถเลือกที่จะตอบแทนความใจร้ายด้วยความเมตตาและความหยาบคายด้วยความอ่อนโยนได้ และพระคำของพระเจ้าบอกเราว่าการทำเช่นนั้นมีเกียรติมากกว่า

5 ยอมรับความผิดพลาดของกันและกัน

จงอดทนอดกลั้นต่อกันและกัน และไม่ว่าท่านมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกันก็จงยกโทษให้กัน ท่านจงยกโทษให้กันเหมือนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงยกโทษให้ท่าน  – โคโลสี 3:13

เมื่อเราประสบกับความขัดแย้งกับคู่สมรส การไม่ลืมที่จะอดทนต่อกันจะช่วยได้มาก ความสัมพันธ์ประกอบด้วยคนสองคนที่ไม่สมบูรณ์มาอยู่ร่วมกัน คู่ครองของคุณมีข้อบกพร่องและตัวคุณเองก็เช่นกัน

การให้อภัยในความไม่สมบูรณ์ของมนุษย์เป็นรากฐานสำหรับการแก้ไขข้อขัดแย้งและความใกล้ชิดที่ความสัมพันธ์ของคุณต้องการเพื่อให้เจริญเติบโต เมื่อมีคนรู้เรื่องข้อบกพร่องและหูด-ไฝของเรา แสดงว่าเขาก็รู้จักเราจริงๆ และสามารถรักเราได้จริงๆ การแบ่งปันและยอมรับความผิดของเราจึงเป็นรากฐานของความรัก

ลองหาที่ปรึกษาที่เป็นเพื่อนร่วมความเชื่อเพื่อช่วยแก้ไขข้อขัดแย้งในการสมรส

คุณกังวลเกี่ยวกับการแก้ไขความขัดแย้งในความสัมพันธ์ของคุณหรือไม่? คุณเคยต่อสู้กับความตึงเครียดของความขัดแย้งที่อาจเป็นอันตราย-อาจทำให้ผิดหวัง หรือแม้แต่เป็นพิษกับคู่ของคุณหรือไม่?

หากคุณ (หรือคู่ของคุณ) กำลังประสบกับความคับข้องใจหรือสับสนในประเด็นนี้ การให้คำปรึกษาจากเพื่อนคริสเตียนเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเริ่มแก้ปัญหา หาที่ปรึกษาวันนี้ในขณะที่คุณพยายามเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการแก้ไขข้อขัดแย้งในชีวิตแต่งงาน

การเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้ ด้วยความช่วยเหลือจากที่ปรึกษาเพื่อนๆคริสเตียนที่ดี คุณ  และคู่สมรส  สามารถเริ่มค้นหาแนวทางแก้ไขที่คุณต้องการได้จากพวกเขา สิ่งสำคัญที่สุดคือการอธิษฐานทูลขอสติปัญญาในการแก้ไขทุกปัญหาจากพระเจ้า


ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

Seattlechristiancounseling


วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

จะทำอย่างไรเมื่อความคิดของคุณกับสามีไม่ตรงกัน

 

จะทำอย่างไรเมื่อความคิดของคุณกับสามีไม่ตรงกัน

โดย Lizzie Smiley

มีผู้หญิงที่เข้มแข็ง อ่อนน้อมถ่อมตนและน่าทึ่งคนหนึ่งเขียนถึงฉันเมื่อเร็วๆ นี้ เธอเคยอ่านโพสต์ไวรัลของฉัน Let Your Husband Be A Man และสิ่งที่เธอได้อ่านมันได้พูดตรงไปยังหัวใจของเธอ และยังทิ้งคำถามไว้กับเธอด้วย เนื่องจากสามีของเธอรู้สึกได้ว่าเธอต่อต้านเขาอย่างแข็งขันและเธอเองก็กำลังแสวงหาคำแนะนำจากพระเจ้าเกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำ ฉันสามารถบอกได้ว่าเธอกำลังติดอยู่ในซอกหินและมันหนักหนามากสำหรับเธอ และเสียงร้องจากใจจริงของเธอคือ ต้องการทำสิ่งที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ แม้ว่าเธอจะไม่เห็นด้วยทั้งหมดก็ตาม ฉันเขียนกลับถึงเธอด้วยคำแนะนำแบบเดียวกับที่ฉันจะเสนอให้กับทุกคนในวันนี้ สำหรับตอนนี้ ฉันแค่อยากจะแบ่งปันว่าคุณสามารถเดินออกจากสถานการณ์นั้นได้และคุณจะรักษาบ้านที่สงบสุขไว้ได้อย่างไรเมื่อสามีของคุณตัดสินใจบางเรื่องโดยที่คุณไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง

ด่วนมาก ฉันจะบอกคุณที่นี่และตอนนี้ว่าหากความสัมพันธ์ของคุณกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่คุณต้องพูดด้วยอารมณ์  ความรู้สึก การแสดงท่าทาง และอาจนำไปสู่การล่วงละเมิด ตอนนี้ไม่ใช่เวลาสำหรับการยอมแพ้ แต่ฉันมีความเห็นที่คิดต่างและเฉพาะเจาะจงสำหรับเรื่องนี้มาแบ่งปัน

ฟังนะ เมื่อก่อนฉันเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ฉันเป็นอยู่อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้  อันที่จริง ในหลาย ๆ ด้านเลยก็ว่าได้ ฉันจะทำมันตรงกันข้ามหมด ฉันเคยมีค่านิยมที่แตกต่างกันมากเกี่ยวกับการแต่งงาน สิทธิผู้หญิง และความเชื่อจนกระทั่งฉันถูกเปลี่ยนใหม่ในพระเยซูคริสต์ในปี 2010 ฉันเองก็ไม่ได้เติบโตขึ้นมาโดยมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระคริสต์ตั้งแต่แรก ฉันไม่ได้อ่านพระคัมภีร์จบทั้งเล่มจนกระทั่งอายุ 27 ปี และฉันใช้ชีวิตในวัยหนุ่มสาวในฐานะสตรีนิยม (สตรีนิยมที่มีจิตสำนึกที่จะต่อต้านการข่มเหงรังแกผู้หญิง) แต่แล้วพระเจ้าก็เข้ามาแทรกแซง ครั้งใหญ่. และกระบวนทัศน์ทั้งหมดของฉันก็เปลี่ยนไป

 ดังนั้นคุณสามารถไว้วางใจฉันได้ เมื่อฉันพูดว่า ฉันเข้าใจมันจริงๆ ว่าทำไมหัวข้อของการยอมจำนนจึงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้หญิงหลายคน เพราะมันก็เคยยากสำหรับฉันมาก่อนเช่นกัน บางทีคุณอาจเป็นเหมือนฉัน เมื่อคุณถูกจับได้ว่าคุณต้องต่อสู้กับบุคลิกภาพของตัวเอง หรือแม้แต่ความเชื่อ ความรู้สึกอึดอัดในการที่ต้องเคารพสามีของคุณเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า แต่วันนี้ฉันได้หลุดออกมายังอีกด้านหนึ่งของการต่อสู้ภายในนั้นด้วยมุมมองที่ต่างออกไปแล้ว ตอนนี้ฉัน เป็นอิสระจากความคิดแบบเดิม  กล่าวคือ ฉันอยู่โดยปราศจากการทะเลาะวิวาทในบ้านของฉัน และเป็นอิสระจากตัวฉันเอง ฉันได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณของพระเจ้าในทุกๆความสัมพันธ์ของฉัน

 หากคุณกำลังประสบกับปัญหานี้จริงๆ อย่างที่ฉันเจอ ฉันขอแนะนำให้คุณแสวงหาสติปัญญาจากพระเจ้าในการเดินทางของคุณเพื่อจะยกย่องสามีของคุณ แล้วพระองค์จะทรงแนะนำคุณอย่างอ่อนโยนและเป็นส่วนตัว และประทานการเปิดเผยที่จะปลดปล่อยคุณเช่นกัน

พระองค์สัญญาว่า “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเรา เมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสุดใจของเจ้า” -เยเรมีย์ 29:13

 ในขณะเดียวกัน ฉันต้องการมอบเครื่องมือที่ใช้งานได้จริงแก่คุณเพื่อช่วยคุณนำทางชีวิตแต่งงานเมื่อการยอมจำนนเป็นเรื่องยาก กุญแจสำคัญประการแรกคือเปลี่ยนโฟกัสของคุณจากการคิดถึงสิ่งที่คุณไม่เห็นด้วยให้เป็นเรื่องของพระเจ้า เพราะศัตรู(มารซาตาน)ชอบดักจับเราด้วยความขุ่นเคืองและความฟุ้งซ่านดังนั้นเราจึงละสายตาจากพระเยซู อย่าปล่อยให้ตัวเองตกหลุมพรางของมัน แต่ให้คุณตั้งใจแน่วแน่ในพระเจ้า โฟกัสไปที่พระคำของพระองค์ และสภาพจิตใจของคุณ

 นี่คือสิ่งที่ฉันแนะนำ:

 1. การอธิษฐาน

6อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอนพร้อมกับการขอบพระคุณ 7แล้วสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจจะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์

-ฟิลิปปี 4:6-7

ให้คุณอธิษฐานเผื่อสามี ตัวคุณเอง และทุกคนที่เกี่ยวข้องโดยไม่มีข้อกำหนด คุณเพียงยกทุกคนขึ้นไปหาพระเจ้าและขอให้พระองค์นำน้ำพระทัยที่สมบูรณ์แบบของพระองค์ออกมาในชีวิตของทุกคน อธิษฐานขอพรและพระคุณแห่งการรักษาและความรอดเหนือแต่ละคน นี่เป็นรูปแบบการอธิษฐานที่บริสุทธิ์ที่สุดที่คุณสามารถมอบให้กันได้

 

2. การให้เกียรติสามีของคุณ

 ภรรยาต้องเคารพสามีของตน” –เอเฟซัส 5:33

 หากคุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสามีของคุณ และคุณมักจะพูดคุยกันถึงปัญหาและมีการตัดสินใจร่วมกันในฐานะหุ้นส่วนชีวิต ให้คุณระบุความคิดเห็นของคุณอย่างชัดเจน แต่ต้องทำอย่างให้เกียรติ ไม่แสดงอารมณ์ และมีเหตุผล วางแผนคำพูดของคุณล่วงหน้าแทนที่จะตอบสนองอย่างหุนหันพลันแล่นในขณะนั้น

สิ่งสำคัญคือคุณต้องใส่ใจกับทัศนคติ น้ำเสียง การแสดงออกทางสีหน้า และภาษากายเมื่อคุณสื่อสาร สุภาษิตโบราณที่ว่า “ภาพๆหนึ่งภาพมีค่าหนึ่งพันคำ” เราสามารถนำมาใช้ในที่นี้ได้เลย วิธีที่คุณสื่อสารจะมีความหมายมากเท่ากับที่คุณพูด ยิ่งคุณนำเสนอความคิดเห็นของคุณอย่างสุภาพ รัดกุม และรอบคอบมากเท่าใด สามีก็จะยิ่งได้รับสารนั้นและพิจารณาได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น จงนำความคิดเห็นของคุณไปหาเขาด้วยดวงตาที่อ่อนโยนและอ่อนหวานและหน้าตาที่ผ่อนคลาย

ใครจะพบภรรยาที่ดีเลิศ? นางล้ำค่ายิ่งกว่าทับทิมมากนัก”

-สุภาษิต 31:10

หากคุณได้แสดงเจตจำนงค์ของคุณแล้วและเขาแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขาเองก็ไม่ได้เปลี่ยนใจ—ก็ถึงเวลาที่จะต้องยุติเรื่องนี้ ใช่ แม้ว่าคุณจะไม่เห็นด้วยก็ตาม หากเป็นเรื่องที่คุณจริงจัง จากนี้ไปการต่อสู้ควรต่อสู้ด้วยคำอธิษฐานที่ถ่อมตนและบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่ในเนื้อหนัง

อย่าตกหลุมพรางของการหยิบยกประเด็นเดิมขึ้นมาพูดเรื่อยๆ อย่ากวนใจเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ และพบกับสันติสุขในที่ที่คุณอยู่ ท้ายที่สุด พวกเราไม่มีใครอยากเป็นภรรยาที่ชอบทะเลาะวิวาท เราอยากเป็นภรรยาที่มีค่ามากกว่าทับทิมแน่นอน

อยู่หัวมุมดาดฟ้า ดีกว่าอยู่ร่วมบ้านกับเมียขี้ทะเลาะ”

สุภาษิต 25:24

ต่อไปนี้อาจฟังรุนแรงบ้างเล็กน้อย แต่ฉันเชื่อว่าจำเป็นต้องพูด:

นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาทำสงครามเย็นกับสามีของคุณ โดยการเงียบ บูดบึ้ง หรืองดการมีเพศสัมพันธ์เพื่อประกาศสงคราม ผู้หญิงจำนวนมากใช้ "การลงโทษแบบเงียบ" เหล่านี้เพื่อจัดการสามีเพื่อให้เขาปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเธอต้องการ พวกเธอปกป้องตัวเองโดยบอกว่าพวกเธอไม่ได้โต้เถียงกับสามีหรือไม่เชื่อฟังเขาแต่อย่างใด แต่ฉันคิดว่าเราทำได้ดีกว่านี้ ฉันเชื่อว่าผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่สามารถและควรอยู่เหนือพฤติกรรมเหล่านี้ และถ้าเราสนใจที่จะเชื่อฟังพระเจ้าและรอให้พระองค์ให้คำตอบกับคำอธิษฐานของเรา—เราก็ต้องอยู่เหนือมันได้เช่นกัน ฉันรักคุณมากพอที่จะบอกความจริงกับคุณ: และมันมีวิธีที่ดีกว่านี้

อย่าปฏิเสธการอยู่ร่วมกัน เว้นแต่เห็นพ้องกันเป็นการชั่วคราวเพื่ออุทิศตนในการอธิษฐาน จากนั้นจึงมาอยู่ร่วมกันอีก เพื่อซาตานจะไม่ล่อลวงท่านให้ทำผิดเนื่องจากขาดการควบคุมตนเอง” -1 โครินธ์ 7:5

“…เมื่อท่านทูลขอท่านไม่ได้รับเพราะท่านขอด้วยแรงจูงใจผิดๆ เพื่อจะนำไปปรนเปรอตนเอง…” - ยากอบ 4:3

ในท้ายที่สุด สภาวการณ์ของเราไม่ได้เป็นตัวควบคุมความสุขหรือความสงบภายในใจของเรา แต่ความสัมพันธ์ส่วนตัวของเรากับพระเจ้าต่างหากที่ควบคุม ลองใช้พลังที่คุณอยากจะใช้เพื่อพยายามเปลี่ยนความคิดของสามี มาเป็นการเปลี่ยนเส้นทางที่จะนำตัวคุณเองไปสู่การแสวงหาพระเจ้าแทนจะดีกว่าไหม

หากจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงคนอื่น ก็ปล่อยให้พระเจ้าดำเนินการ ให้พระเจ้าพูดและชี้นำสามีของคุณ พระองค์สามารถดึงความสนใจจากสามีของคุณได้อย่างแน่นอนหากพระองค์าต้องการหรือจำเป็นต้องทำ เพราะพระองค์เป็นผู้สร้างจักรวาลทั้งหมด

สำหรับตอนนี้ ให้เราเอาชนะสามีของคุณด้วยความเคารพ รัก และให้เกียรติเสียสละ ฉันอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อหลายปีก่อนซึ่งทำให้ฉันรู้สึกแย่ แต่มันได้สอนฉันอย่างมากและปรับปรุงความสัมพันธ์ของฉันกับสามีให้ดีขึ้นจริงๆ มันถูกเรียกว่า The Proper Care & Feeding of Husbands โดย Laura Schlessinger อาจไม่ง่าย แต่หากทำได้ ก็เปลี่ยนชีวิตได้

 

3. แสวงหาพระเจ้าด้วยทุกสิ่งที่คุณมี

แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย”

มัทธิว 6:33

บัดนี้เป็นเวลาที่จะมุ่งหน้าไปหาพระเจ้าและยอมให้พระองค์นำพาคุณผ่านพ้นฤดูกาลนี้ไป นี่จะเป็นประสบการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตเมื่อคุณได้เรียนรู้ว่าพระองค์คือทุกสิ่งที่คุณต้องการอย่างแท้จริง ใช้ประโยชน์จากความยากลำบากในปัจจุบัน ความคับข้องใจ ความกลัว หรืออารมณ์ด้านลบอื่นๆ ในปัจจุบันของคุณ และนำมันทั้งหมดไปไว้หน้าพระที่นั่งแห่งพระคุณ ซึ่งคุณจะพบความเมตตาในเวลาที่คุณต้องการ (ฮีบรู 4:16) นี่เป็นเรื่องระหว่างคุณกับพระบิดาบนสวรรค์ของคุณ และพระองค์รอคอยที่จะพบคุณในห้องที่เงียบสงบ เพื่อเป็นทุกอย่างของคุณ

อย่ามองหาความรอดของคุณแค่ที่โบสถ์หรือศิษยาภิบาล/ผู้ทำหน้าที่อภิบาล หรือการการเติมเต็มทางวิญญาณของคุณเท่านั้น

โบสถ์ในวันอาทิตย์มีความสวยงามมากกว่าสิ่งอื่นใด เป็นวันที่เราจะได้เพลิดเพลินกับการมีสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อคนอื่นๆ แต่มันจะไม่นำเราไปสู่ทางแคบแห่งความรอด และนี่ไม่ใช่ที่ที่เดียวที่เราควรจะได้รับอาหารฝ่ายวิญญาณทั้งหมดของเรา

ความสัมพันธ์ส่วนตัวของฉันกับพระเจ้าดำเนินไปทุกวันโดยใช้เวลาทุ่มเทในการอ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน และนมัสการพระเจ้าด้วยเพลงสรรเสริญ และของคุณก็ต้องทำเช่นเดียวกัน

คุณควรให้ความสำคัญกับการทรงเรียกส่วนตัวของคุณ มากกว่าที่จะรอให้ศิษยาภิบาล หรือผู้มีหน้าที่อภิบาลเพียงคนใดคนหนึ่งมานำทางคุณ  พี่น้องที่รัก! พระเจ้าต้องการเวลาใกล้ชิดเพื่อพูดคุยกับคุณโดยตรง สอนคุณ และประทานการเปิดเผยผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ แทนที่จะมองหาที่โบสถ์เพื่อทำสิ่งนี้ ให้คุณลองติดตามพระเจ้าด้วยทุกสิ่งที่คุณมี และทำให้มันกลายเป็นภารกิจประจำวันของคุณเพื่อที่คุณจะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด

 

4. เปลี่ยนแปลงตัวคุณเอง

และเราทั้งหลายผู้ไม่มีผ้าคลุมหน้าล้วนใคร่ครวญพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า เรากำลังรับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระองค์ด้วยรัศมีที่เพิ่มพูนขึ้นทุกที อันเป็นรัศมีซึ่งมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ ”

-2 โครินธ์ 3:18

หากฉันสามารถให้คำแนะนำเพียงข้อเดียวเกี่ยวกับการยอมจำนน แม้ว่าคุณจะไม่เห็นด้วยกับสามีของคุณ ก็คงจะเป็นดังนี้: ขอให้พระเจ้าชำระจิตใจของคุณให้บริสุทธิ์และนำคุณไปสู่ความสงบสุข และอย่าหยุดถามจนกว่าจะได้คำตอบ ปล่อยให้เสียงร้องของหัวใจเป็นไปเพื่อพระเจ้าจะทรงนำคุณไปสู่การรักษาระดับที่คุณไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

สิ่งสุดท้ายที่ฉันต้องการคือ ขอให้คุณกลายเป็นคนที่เอาจริงเอาจังในเรื่องนี้หรือเรื่อง อื่นๆ และวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปของโลกเราในทุกวันนี้ เพราะฉันเป็นห่วงชุมชนแห่งความเชื่อ/คริสตจักรของเรามาก พระเยซูคริสต์ทรงต้องการและสมควรได้รับเจ้าสาวที่บริสุทธิ์ เพราะพระองค์ยอมสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เราจึงเป็นหนี้พระองค์ที่จะแสวงหาจิตใจที่บริสุทธิ์และจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์

ความจริงก็คือพระเจ้าอาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่ แต่สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือวิธีที่เราเลือกตอบสนองกับสถานการณ์เหล่านั้น เราสามารถโกรธ รำคาญ และบ่นกับสามีของเราได้จนกว่าสามีจะยอมจำนนและทำในสิ่งที่เราต้องการ—แต่นั่นจะทำให้พระเจ้าและกิจการของพระองค์ได้รับการสรรเสริญในการดำเนินชีวิตของเราได้อย่างไร?

อีกทางเลือกหนึ่งคือเราสามารถยอมจำนนต่อสามีของเรา และเลือกใช้พลังงานของเราในการใฝ่หาความใกล้ชิดกับพระเจ้าและสันติสุขในที่ที่เราอยู่

มีอีกเรื่องหนึ่ง ที่ฉันกังวลคือทัศนคติของจิตใจที่ฉันมีต่อพระเจ้าและคนอื่นๆ ในขณะที่ฉันต้องรับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ซึ่งมันยากมากกว่าสภาพการณ์ของฉันเสียอีก ฉันขอบอกไว้ ณ ที่นี้เลยว่า ฉันใช้เวลาหลายปีจมอยู่กับความคับแค้นใจกับทุกสิ่งที่ฉันไม่ชอบและมันไม่ส่งผลดีต่อฉันเลย หากเรามีสันติสุขกับทุกเรื่องและคนรอบๆตัวเราได้ มันคงเป็นที่ที่มีความสุขมาก

พี่น้องที่รักฉันหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยคุณได้! ฉันแบ่งปันบทความนี้ให้คุณด้วยความหวังและคำอธิษฐานมากมาย คุณมีค่ามากและฉันสวดอ้อนวอนขอให้พระเจ้าใช้ฤดูกาลนี้นำคุณไปสู่แผนการอันทรงพลังที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าสำหรับคุณ

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

Createapeacefulhome


วิธีทำให้จิตใจสงบเพื่อให้คุณได้ยินจากพระเจ้า

 




วิธีทำให้จิตใจสงบเพื่อให้คุณได้ยินจากพระเจ้า

ในขณะที่ฉันนั่งอยู่ที่นี่ที่โต๊ะทำงานเพื่อเตรียมเขียนแบ่งปันบางสิ่งต่อคุณผู้อ่านที่รัก ฉันคิดว่าตัวฉันเองต้องฝึกฝนมันก่อน สิ่งที่ฉันต้องการจะแบ่งปันกับคุณในวันนี้ คือฉันเองก็ต้องหยุดและฟัง ฉันต้องสงบสติอารมณ์และฟังพระเจ้าตรัสก่อนเช่นกัน

ฉันจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร

นี่เป็นวินัยที่ฉันเองยังคงต้องพยายามและทำอยู่ (และอาจจะต้องเป็นเช่นนั้นตลอดไป) จิตใจของฉันไม่ได้เป็นที่ที่สามารถเงียบสงบได้โดยธรรมชาติ เชื่อว่า ของคุณเองก็คงจะเหมือนกัน ใช่ไหม?

สิ่งรบกวนมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่มันมีขั้นตอนที่เราสามารถทำได้เพื่อลดเสียงจากสิ่งรบกวนสมาธิเหล่านั้นและทำให้ความคิดของเราสงบลง แม้ในท่ามกลางชีวิตที่วุ่นวายของเราได้ เราต้องการหยุดเงียบ ๆ ในวันนั้นของเรา เราจำเป็นต้องสร้างพื้นที่สำหรับการฟังเสียงที่สำคัญที่สุด ซึ่งนั่นคือ เสียงของพระผู้เป็นเจ้า

เมื่อเราฟังพระเจ้า เราอาจพิจารณาข้อต่อไปนี้

11พระองค์ตรัสว่า “จงออกไปยืนต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าบนภูเขา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังจะเสด็จผ่าน”

แล้วมีลมพายุกล้าพัดปะทะภูเขาอย่างรุนแรง ทำให้หินแตกเป็นเสี่ยงๆ ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ประทับอยู่ในลมนั้น หลังพายุก็เกิดแผ่นดินไหว แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ประทับอยู่ในแผ่นดินไหวนั้น 12และภายหลังแผ่นดินไหวก็เกิดไฟลุก แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ประทับอยู่ในไฟนั้น หลังจากไฟมีเสียงกระซิบอันอ่อนโยน 13เมื่อเอลียาห์ได้ยิน เขาก็ยกเสื้อคลุมขึ้นปิดหน้า และออกไปยืนอยู่ตรงปากถ้ำ

มีเสียงหนึ่งกล่าวกับเขาว่า “เอลียาห์เอ๋ย เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่?”1 กษัตริย์ 19:11-13

สังเกตได้ว่าพระสุรเสียงของพระเจ้ามาถึงเอลียาห์ด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบา เราเองก็ต้องเงียบเพื่อฟังเสียงกระซิบของพระองค์เช่นกัน

 ฉันเองยังคิดถึงวิธีที่พระเยซูเสด็จไป "ที่เปลี่ยวและอธิษฐาน" (ลูกา 5:16)

ประสบการณ์ของตัวเองในการได้ยินพระเจ้าตรัสกับฉันดูเหมือนว่าจะมาในช่วงเวลาที่เงียบสงบเช่นกัน

ฉันได้ยินเสียงที่ควรได้ยินทุกครั้งหรือไม่? โดยส่วนตัวฉันอาจยังไม่ได้ยินเสมอไป (แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เกิดขึ้น) นี่คงจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่เราจะต้องค้นหาซึ่งตัวอย่างทั้งหมดที่พระเจ้าได้ตรัสกับผู้คนมากมายซึ่งมีให้เราเห็นตลอดในพระคัมภีร์ เป็นเรื่องที่เราควรค้นหา ศึกษาดู

สำหรับฉัน ฉันจะได้ยินพระเจ้าเมื่อฉันอ่านพระคัมภีร์ ความหมายของข้อใดข้อหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ฉันเคยอ่านมาหลายครั้งแล้ว แต่แล้วจู่ๆ มันก็ชัดเจนขึ้น โดยมักจะตรงกับช่วงชีวิตของฉันในเวลานั้นๆ หรือเมื่อฉันเกิดมีคำถาม

มีหลายครั้งที่ฉันอ่านพระคัมภีร์ ฉันอาจไม่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้รับอะไรมากมายจากการอ่านในครั้งนั้น แต่ต่อมา บางครั้งในภายหลัง เมื่อฉันต้องการมัน พระคำช่วงตอนหนึ่งจะย้อนกลับมาหาฉัน และมันเหมือนกับหลอดไฟที่ติดสว่าง ฉันเกิดมุมมองใหม่ ความคิดใหม่ที่ฉันรู้แน่ว่ามันไม่ได้มาจากตัวฉันแน่นอน…นี่คือบางวิธีที่ทำให้ฉันรู้ได้ว่าฉันกำลังได้ยินพระเจ้าตรัสกับฉัน

พระเจ้าตรัสกับเราผ่านพระคัมภีร์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงส่องสว่าง พระวจนะของพระองค์ตรัสกับเราเพื่อให้เราเข้าใจได้ดีขึ้นและรู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตของเราอย่างไร

หากเราสงสัยว่าเสียงที่เราได้ยินนั้นเป็นเสียงของพระเจ้าหรือไม่ มีการทดสอบง่ายๆ พระเจ้าจะไม่ขัดแย้งในตัวเอง เราสามารถวัดทุกอย่างกับพระคำของพระองค์ได้ในพระคัมภีร์

 16พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสั่งสอน การว่ากล่าวตักเตือน การแก้ไขข้อบกพร่อง และการฝึกฝนในความชอบธรรม 2 ทิโมธี 3:16  

 เราสามารถและเราควรทดสอบทุกสิ่งที่เราได้ยินเกี่ยวกับพระคัมภีร์

11ชาวเมืองเบเรอามีจิตใจสูงกว่าชาวเมืองเธสะโลนิกาเพราะพวกเขารับเรื่องนี้ด้วยความกระตือรือร้นและค้นพระคัมภีร์ทุกวันเพื่อตรวจสอบว่าสิ่งที่เปาโลกล่าวเป็นจริงหรือไม่” กิจการ 17:11

ฉันเชื่อว่าพระเจ้าตรัสกับเรา แต่ที่เราพลาดสิ่งที่พระองค์ตรัสก็เพราะว่าเราไม่ฟังพระองค์

เราจะสงบสติอารมณ์และลดความฟุ้งซ่านที่จะมาขัดขวางการได้ยินจากพระเจ้าให้เหลือน้อยที่สุดได้อย่างไร

1. วางตัวเองในสภาพแวดล้อมที่ช่วยให้คุณมีสมาธิ หามุมสงบหรือห้องที่ห่างไกลจากสิ่งรบกวนสมาธิ ฉันอาศัยอยู่ในบ้านหลังไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไปกับสามีและลูก ดังนั้นเราจึงมีห้องส่วนตัวที่เงียบพอที่เราจะใช้เวลาในการอ่านพระคัมภีร์และใช้เวลาเป็นส่วนตัวกับพระเจ้าได้

2. พูดคุยกับพระเจ้าเกี่ยวกับสิ่งที่คุณกำลังอ่านในพระคัมภีร์เมื่อคุณอธิษฐาน ปฏิบัติเหมือนเป็นการสนทนา เว้นที่ว่างและเงียบสงบเพื่อให้พระองค์ตอบกลับ

3. อย่าต่อสู้กับความคิดที่ทำให้เราเสียสมาธิโดยการพยายามหลีกเลี่ยงมันทั้งหมด เพราะยิ่งเรารู้สึกว่าเราไม่อยากคิด เราจะยิ่งคิดถึงมัน! ให้เรานึกถึงความคิดที่ทำให้เราเสียสมาธิราวกับว่าคุณกำลังนั่งอยู่ริมทางด่วนที่พลุกพล่าน ความคิดเหล่านั้นก็เหมือนรถที่ขับเร็วผ่านไป ให้เรารับรู้ว่าพวกมันอยู่ที่นั่น แล้วดูพวกมันผ่านไป และให้เราปล่อยมันไป

4. เลือกวลีหรือประโยคสั้น ๆ จากพระคัมภีร์ ไตร่ตรอง อ่านแล้วอ่านซ้ำจนฝังใจ

 5. หาเวลาอธิษฐานและรำพึงที่เหมาะกับคุณและสอดคล้องกับเวลาของคุณ ซึ่งหากมันเป็นสิ่งแรกในตอนเช้าของทุกวันได้มันจะได้ผลดีอย่างมาก

6. เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ อาจมีขั้นตอนเหมือนเด็กน้อย ถ้าหากคุณไม่คุ้นเคยกับการนั่งเงียบๆ ให้ลองเริ่มจาก 5 นาทีจนกว่าจะง่ายขึ้น จากนั้นค่อยๆ ยืดเวลาออกไปให้นานขึ้น แต่ระยะของเวลาไม่ได้เป็นตัวบอกว่าดีที่สุด แต่มันขึ้นอยู่กับว่าคุณได้ใช้ช่วงเวลานั้นกับพระเจ้าอย่างมีคุณภาพได้มากแค่ไหนมากกว่า

 นิสัยการฟังเป็นสิ่งที่คุณสามารถปรับปรุงและพัฒนาได้ มันไม่ได้มาง่ายๆ เสมอไป แต่ด้วยการฝึกฝนและตั้งใจ ทำไปทีละเล็กทีละน้อย คุณก็สามารถเสริมสร้างความสามารถในการทำให้จิตใจสงบและทำสมาธิได้

วันนี้ให้เราเริ่มฝึกฟังเสียงของพระเจ้า เพราะพระองค์มีบางอย่างจะพูดกับเราเป็นการส่วนตัว

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

Dawnklinge


พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ อ่านมัทธิว 8:1 ถึง 11:1 ​    25 และพวกสาวกมาปลุกพระองค์ ทูลว่า “องค์พร...