วิธีทำให้จิตใจสงบเพื่อให้คุณได้ยินจากพระเจ้า
ในขณะที่ฉันนั่งอยู่ที่นี่ที่โต๊ะทำงานเพื่อเตรียมเขียนแบ่งปันบางสิ่งต่อคุณผู้อ่านที่รัก
ฉันคิดว่าตัวฉันเองต้องฝึกฝนมันก่อน สิ่งที่ฉันต้องการจะแบ่งปันกับคุณในวันนี้ คือฉันเองก็ต้องหยุดและฟัง
ฉันต้องสงบสติอารมณ์และฟังพระเจ้าตรัสก่อนเช่นกัน
ฉันจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร
นี่เป็นวินัยที่ฉันเองยังคงต้องพยายามและทำอยู่ (และอาจจะต้องเป็นเช่นนั้นตลอดไป)
จิตใจของฉันไม่ได้เป็นที่ที่สามารถเงียบสงบได้โดยธรรมชาติ เชื่อว่า ของคุณเองก็คงจะเหมือนกัน
ใช่ไหม?
สิ่งรบกวนมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่มันมีขั้นตอนที่เราสามารถทำได้เพื่อลดเสียงจากสิ่งรบกวนสมาธิเหล่านั้นและทำให้ความคิดของเราสงบลง
แม้ในท่ามกลางชีวิตที่วุ่นวายของเราได้ เราต้องการหยุดเงียบ ๆ ในวันนั้นของเรา เราจำเป็นต้องสร้างพื้นที่สำหรับการฟังเสียงที่สำคัญที่สุด ซึ่งนั่นคือ
เสียงของพระผู้เป็นเจ้า
เมื่อเราฟังพระเจ้า เราอาจพิจารณาข้อต่อไปนี้
11พระองค์ตรัสว่า “จงออกไปยืนต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าบนภูเขา
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังจะเสด็จผ่าน”
แล้วมีลมพายุกล้าพัดปะทะภูเขาอย่างรุนแรง ทำให้หินแตกเป็นเสี่ยงๆ
ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ประทับอยู่ในลมนั้น
หลังพายุก็เกิดแผ่นดินไหว แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ประทับอยู่ในแผ่นดินไหวนั้น 12และภายหลังแผ่นดินไหวก็เกิดไฟลุก
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ประทับอยู่ในไฟนั้น หลังจากไฟมีเสียงกระซิบอันอ่อนโยน 13เมื่อเอลียาห์ได้ยิน เขาก็ยกเสื้อคลุมขึ้นปิดหน้า
และออกไปยืนอยู่ตรงปากถ้ำ
มีเสียงหนึ่งกล่าวกับเขาว่า “เอลียาห์เอ๋ย เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่?”1 กษัตริย์ 19:11-13
สังเกตได้ว่าพระสุรเสียงของพระเจ้ามาถึงเอลียาห์ด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบา เราเองก็ต้องเงียบเพื่อฟังเสียงกระซิบของพระองค์เช่นกัน
ประสบการณ์ของตัวเองในการได้ยินพระเจ้าตรัสกับฉันดูเหมือนว่าจะมาในช่วงเวลาที่เงียบสงบเช่นกัน
ฉันได้ยินเสียงที่ควรได้ยินทุกครั้งหรือไม่? โดยส่วนตัวฉันอาจยังไม่ได้ยินเสมอไป (แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เกิดขึ้น)
นี่คงจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่เราจะต้องค้นหาซึ่งตัวอย่างทั้งหมดที่พระเจ้าได้ตรัสกับผู้คนมากมายซึ่งมีให้เราเห็นตลอดในพระคัมภีร์
เป็นเรื่องที่เราควรค้นหา ศึกษาดู
สำหรับฉัน ฉันจะได้ยินพระเจ้าเมื่อฉันอ่านพระคัมภีร์
ความหมายของข้อใดข้อหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ฉันเคยอ่านมาหลายครั้งแล้ว แต่แล้วจู่ๆ มันก็ชัดเจนขึ้น โดยมักจะตรงกับช่วงชีวิตของฉันในเวลานั้นๆ หรือเมื่อฉันเกิดมีคำถาม
มีหลายครั้งที่ฉันอ่านพระคัมภีร์ ฉันอาจไม่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้รับอะไรมากมายจากการอ่านในครั้งนั้น
แต่ต่อมา บางครั้งในภายหลัง เมื่อฉันต้องการมัน พระคำช่วงตอนหนึ่งจะย้อนกลับมาหาฉัน
และมันเหมือนกับหลอดไฟที่ติดสว่าง ฉันเกิดมุมมองใหม่ ความคิดใหม่ที่ฉันรู้แน่ว่ามันไม่ได้มาจากตัวฉันแน่นอน…นี่คือบางวิธีที่ทำให้ฉันรู้ได้ว่าฉันกำลังได้ยินพระเจ้าตรัสกับฉัน
พระเจ้าตรัสกับเราผ่านพระคัมภีร์
และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงส่องสว่าง พระวจนะของพระองค์ตรัสกับเราเพื่อให้เราเข้าใจได้ดีขึ้นและรู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตของเราอย่างไร
หากเราสงสัยว่าเสียงที่เราได้ยินนั้นเป็นเสียงของพระเจ้าหรือไม่
มีการทดสอบง่ายๆ พระเจ้าจะไม่ขัดแย้งในตัวเอง
เราสามารถวัดทุกอย่างกับพระคำของพระองค์ได้ในพระคัมภีร์
“16พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า
และเป็นประโยชน์ในการสั่งสอน การว่ากล่าวตักเตือน การแก้ไขข้อบกพร่อง
และการฝึกฝนในความชอบธรรม 2 ทิโมธี 3:16
“11ชาวเมืองเบเรอามีจิตใจสูงกว่าชาวเมืองเธสะโลนิกาเพราะพวกเขารับเรื่องนี้ด้วยความกระตือรือร้นและค้นพระคัมภีร์ทุกวันเพื่อตรวจสอบว่าสิ่งที่เปาโลกล่าวเป็นจริงหรือไม่”
กิจการ 17:11
ฉันเชื่อว่าพระเจ้าตรัสกับเรา แต่ที่เราพลาดสิ่งที่พระองค์ตรัสก็เพราะว่าเราไม่ฟังพระองค์
เราจะสงบสติอารมณ์และลดความฟุ้งซ่านที่จะมาขัดขวางการได้ยินจากพระเจ้าให้เหลือน้อยที่สุดได้อย่างไร
1.
วางตัวเองในสภาพแวดล้อมที่ช่วยให้คุณมีสมาธิ
หามุมสงบหรือห้องที่ห่างไกลจากสิ่งรบกวนสมาธิ ฉันอาศัยอยู่ในบ้านหลังไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไปกับสามีและลูก
ดังนั้นเราจึงมีห้องส่วนตัวที่เงียบพอที่เราจะใช้เวลาในการอ่านพระคัมภีร์และใช้เวลาเป็นส่วนตัวกับพระเจ้าได้
2.
พูดคุยกับพระเจ้าเกี่ยวกับสิ่งที่คุณกำลังอ่านในพระคัมภีร์เมื่อคุณอธิษฐาน
ปฏิบัติเหมือนเป็นการสนทนา เว้นที่ว่างและเงียบสงบเพื่อให้พระองค์ตอบกลับ
3.
อย่าต่อสู้กับความคิดที่ทำให้เราเสียสมาธิโดยการพยายามหลีกเลี่ยงมันทั้งหมด
เพราะยิ่งเรารู้สึกว่าเราไม่อยากคิด เราจะยิ่งคิดถึงมัน! ให้เรานึกถึงความคิดที่ทำให้เราเสียสมาธิราวกับว่าคุณกำลังนั่งอยู่ริมทางด่วนที่พลุกพล่าน
ความคิดเหล่านั้นก็เหมือนรถที่ขับเร็วผ่านไป ให้เรารับรู้ว่าพวกมันอยู่ที่นั่น แล้วดูพวกมันผ่านไป
และให้เราปล่อยมันไป
4.
เลือกวลีหรือประโยคสั้น ๆ จากพระคัมภีร์ ไตร่ตรอง
อ่านแล้วอ่านซ้ำจนฝังใจ
6.
เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ อาจมีขั้นตอนเหมือนเด็กน้อย
ถ้าหากคุณไม่คุ้นเคยกับการนั่งเงียบๆ ให้ลองเริ่มจาก 5
นาทีจนกว่าจะง่ายขึ้น จากนั้นค่อยๆ ยืดเวลาออกไปให้นานขึ้น
แต่ระยะของเวลาไม่ได้เป็นตัวบอกว่าดีที่สุด แต่มันขึ้นอยู่กับว่าคุณได้ใช้ช่วงเวลานั้นกับพระเจ้าอย่างมีคุณภาพได้มากแค่ไหนมากกว่า
วันนี้ให้เราเริ่มฝึกฟังเสียงของพระเจ้า เพราะพระองค์มีบางอย่างจะพูดกับเราเป็นการส่วนตัว
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ
Dawnklinge
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น