วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ห้ามมีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา

 


นมัสการพระเจ้าเท่านั้น

ห้ามมีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา

อพยพ 20: 3

พระคัมภีร์เต็มไปด้วยสิ่งดีๆให้คุณได้เรียนรู้ หนึ่งในบทเรียนแรกที่พระเจ้ามอบให้กับลูก ๆ ของพระองค์ ชนชาติอิสราเอลก็คือบัญญัติสิบประการ และนี่เป็นกฎพื้นฐานสิบประการสำหรับทุกคนที่ต้องปฏิบัติตาม

ห้ามมีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา หรือ จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าองค์เดียวของท่าน เป็นหนึ่งในข้อบทบัญญัติสิบประการ ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ประทานให้กับชนชาติอิสราเอลผ่านทางโมเสส  ทำไมต้องนมัสการพระเป็นเจ้าแต่ผู้เดียว    คำตอบคือ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้ทรงสรรพานุภาพ เป็นพระผู้สูงสุด ยิ่งใหญ่ที่สุด หามีผู้ใดจะเทียบได้...ทรงเป็นพระผู้สร้าง เป็นพระผู้ดูแล พระผู้ประทานรางวัล ฯลฯ ดังที่เราได้ทราบมาแล้วในภาคที่หนึ่ง เรื่องข้อความเชื่อ (พระสัจธรรม) ห้ามบรรดาคริสตชนหันไปเคารพกราบไหว้หรือ นับถือผู้อื่นเสมอเหมือน หรือ ยิ่งใหญ่เท่าพระเจ้า

การถือผิดๆ จากความเชื่อ    คือ การเชื่อว่ามีบุคคลหรือสรรพสิ่งสรรพสัตว์บางอย่างมีฤทธิ์อำนาจเสมอเหมือนพระเจ้า เช่น เชื่อในหมอดู เชื่อเรื่องบุญกรรมวาสนา เชื่อเครื่องรางของขลัง เชื่อฝัน รวมไปถึงดูฤกษ์ดูยาม และเรื่องราวทำนองคาถาอาคมต่างๆ    ทั้งนี้ เพราะถ้าหากเรามีความเชื่อ ความไว้วางใจในพระเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว เราย่อมมั่นใจว่าทุกอย่างนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ เป็นพระประสงค์ของพระองค์ทั้งสิ้น    ไม่มีฤทธิ์อำนาจใดๆ จะยิ่งใหญ่เท่าพระฤทธานุภาพของพระองค์

ในชีวิตประจำวันบรรดาคริสตชนมักจะมีความสงสัยกันอยู่เสมอว่า ทำอย่างโน้นบาปไหม? ทำอย่างนี้บาปไหม? เช่น ดูหมอดูบาปหรือไม่? เชื่อฝันผิดไหม? ดูฤกษ์ดูยาม เช่น วันแต่งงาน วันขึ้นบ้านใหม่ ฯลฯ เป็นอย่างไรทำได้ไหม?...    รวมไปถึงการทำบุญในศาสนาอื่นๆ จะบาปไหม? และคำถามทำนองนี้อีกมากมาย

    จึงอยากอธิบายเป็นหลักปฏิบัติกว้างๆ ดังนี้ว่า...    ก่อนอื่นหมดเราจะต้องรู้ตัวของเราก่อนว่า เรามีความเชื่อความศรัทธาและความรักในพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่?    แน่นอนสำหรับผู้ที่มีความเชื่อมั่นในพระเจ้า ทุกอย่างจะไม่มีปัญหาใดๆ เพราะเหนือสิ่งอื่นใดคือพระเจ้า

    โดยส่วนใหญ่แล้ว บรรดาคริสตชนจะบอกว่า ตัวเองเชื่อและมั่นใจในพระเจ้า แต่ในทางปฏิบัติและความเป็นจริงในชีวิตประจำวันอาจจะมีเหตุการณ์เรื่องราวบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้อดสงสัยไขว่เขวไปได้เหมือนกัน เช่น เคยเห็นคนเข้าเจ้าเข้าทรง รู้จักหมอดูแม่นๆ คนนี้คนนั้น คนเขารดน้ำหมากราดน้ำมนต์แล้วหายจากโรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ เป็นต้น

    คำตอบตรงนี้ก็คือ ถ้าเราเชื่อและมั่นใจในพระเจ้า ว่าพระองค์ทรงสร้างเรามาทรงเลี้ยงดูและค้ำชูเราอยู่ตลอด    ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากพระองค์และเป็นของพระองค์แล้ว มันจะผิดอะไร ถ้าพระองค์จะทรงให้เราเป็นอย่างนี้เป็นอย่างนั้น มีสุขอย่างนี้มีทุกข์อย่างนั้น... ทำไมเราจะต้องคิดว่ามีผู้อื่น หรือสิ่งสำคัญอื่นใดที่จะช่วยเราได้ดีกว่าพระองค์

    ขอพูดถึงเรื่องการทำบุญในศาสนาอื่นๆ อีกนิด    คงจำได้ว่าในอดีตเคร่งมาก ห้ามทำบุญหรือช่วยงานในศาสนาอื่นทุกอย่างๆ... แต่ปัจจุบันพระศาสนจักรอธิบายว่า เราอยู่ในสังคมต้องมีหน้าที่ส่งเสริมกันและกันกระทำในสิ่งที่ดี การทำบุญซองผ้าป่า สร้างอาคารสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นวัดศาลาธรรม ศาลาการเปรียญหรือสาธารณสถานต่างๆ ถือเป็นเรื่องที่ดี...ช่วยสังคม ช่วยคนให้มีสถานที่มีโอกาสได้รับการอบรมบ่มนิสัยให้เป็นคนดีแล้วมันจะผิดได้อย่างไร?

ดังนั้น เราจะต้องมั่นใจในความเชื่อความศรัทธาของเราจริงๆ และพร้อมที่จะแสดงตนยืนยันว่า เราเป็นคริสตชน เวลาไปร่วมพิธีในศาสนาอื่น    ต้องชัดเจนว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ และเช่นเดียวกันเราก็ต้องเคารพในความเชื่อถือความศรัทธาของผู้อื่นที่เขามีความเชื่อและความศรัทธาในศาสนาของเขา อย่าไปโจมตีหรือว่ากล่าวเขาเป็นอันขาด พูดตรงๆ ก็คือเราต้องเคร่งครัดในศาสนาของเรา แต่อย่าคลั่งจนไม่เคารพผู้อื่น

แต่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคืออย่าลืมให้พระเจ้ามาเป็นอันดับแรกในทุกสิ่งที่คุณทำ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาที่รัก พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียว ลูกขอถวายการนมัสการและความรักทั้งหมดของลูกให้กับพระองค์เพียงผู้เดียว เอเมน

 ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ One minute devotions

คุณพ่อวุฒิเลิศ แห่ล้อม


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ อ่านมัทธิว 26:3 ถึง 27:66 ยูดาสตอบรับการเรียกของพระเยซูให้ติดตามเช่นเดียวกับสาวกคนอื่นๆ เขาออ...