นมัสการพระเจ้าเท่านั้น
ห้ามมีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา
อพยพ 20: 3
พระคัมภีร์เต็มไปด้วยสิ่งดีๆให้คุณได้เรียนรู้ หนึ่งในบทเรียนแรกที่พระเจ้ามอบให้กับลูก
ๆ ของพระองค์ ชนชาติอิสราเอลก็คือบัญญัติสิบประการ และนี่เป็นกฎพื้นฐานสิบประการสำหรับทุกคนที่ต้องปฏิบัติตาม
ห้ามมีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา หรือ
จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าองค์เดียวของท่าน เป็นหนึ่งในข้อบทบัญญัติสิบประการ
ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ประทานให้กับชนชาติอิสราเอลผ่านทางโมเสส ทำไมต้องนมัสการพระเป็นเจ้าแต่ผู้เดียว คำตอบคือ
เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้ทรงสรรพานุภาพ เป็นพระผู้สูงสุด ยิ่งใหญ่ที่สุด
หามีผู้ใดจะเทียบได้...ทรงเป็นพระผู้สร้าง เป็นพระผู้ดูแล พระผู้ประทานรางวัล ฯลฯ
ดังที่เราได้ทราบมาแล้วในภาคที่หนึ่ง เรื่องข้อความเชื่อ (พระสัจธรรม) ห้ามบรรดาคริสตชนหันไปเคารพกราบไหว้หรือ
นับถือผู้อื่นเสมอเหมือน หรือ ยิ่งใหญ่เท่าพระเจ้า
การถือผิดๆ จากความเชื่อ คือ
การเชื่อว่ามีบุคคลหรือสรรพสิ่งสรรพสัตว์บางอย่างมีฤทธิ์อำนาจเสมอเหมือนพระเจ้า
เช่น เชื่อในหมอดู เชื่อเรื่องบุญกรรมวาสนา เชื่อเครื่องรางของขลัง เชื่อฝัน
รวมไปถึงดูฤกษ์ดูยาม และเรื่องราวทำนองคาถาอาคมต่างๆ ทั้งนี้ เพราะถ้าหากเรามีความเชื่อ
ความไว้วางใจในพระเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว เราย่อมมั่นใจว่าทุกอย่างนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์
เป็นพระประสงค์ของพระองค์ทั้งสิ้น
ไม่มีฤทธิ์อำนาจใดๆ จะยิ่งใหญ่เท่าพระฤทธานุภาพของพระองค์
ในชีวิตประจำวันบรรดาคริสตชนมักจะมีความสงสัยกันอยู่เสมอว่า
ทำอย่างโน้นบาปไหม? ทำอย่างนี้บาปไหม? เช่น ดูหมอดูบาปหรือไม่? เชื่อฝันผิดไหม? ดูฤกษ์ดูยาม เช่น วันแต่งงาน วันขึ้นบ้านใหม่ ฯลฯ เป็นอย่างไรทำได้ไหม?... รวมไปถึงการทำบุญในศาสนาอื่นๆ
จะบาปไหม? และคำถามทำนองนี้อีกมากมาย
จึงอยากอธิบายเป็นหลักปฏิบัติกว้างๆ
ดังนี้ว่า...
ก่อนอื่นหมดเราจะต้องรู้ตัวของเราก่อนว่า เรามีความเชื่อความศรัทธาและความรักในพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่? แน่นอนสำหรับผู้ที่มีความเชื่อมั่นในพระเจ้า
ทุกอย่างจะไม่มีปัญหาใดๆ เพราะเหนือสิ่งอื่นใดคือพระเจ้า
โดยส่วนใหญ่แล้ว
บรรดาคริสตชนจะบอกว่า ตัวเองเชื่อและมั่นใจในพระเจ้า
แต่ในทางปฏิบัติและความเป็นจริงในชีวิตประจำวันอาจจะมีเหตุการณ์เรื่องราวบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้อดสงสัยไขว่เขวไปได้เหมือนกัน
เช่น เคยเห็นคนเข้าเจ้าเข้าทรง รู้จักหมอดูแม่นๆ คนนี้คนนั้น
คนเขารดน้ำหมากราดน้ำมนต์แล้วหายจากโรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ เป็นต้น
คำตอบตรงนี้ก็คือ
ถ้าเราเชื่อและมั่นใจในพระเจ้า ว่าพระองค์ทรงสร้างเรามาทรงเลี้ยงดูและค้ำชูเราอยู่ตลอด
ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากพระองค์และเป็นของพระองค์แล้ว มันจะผิดอะไร ถ้าพระองค์จะทรงให้เราเป็นอย่างนี้เป็นอย่างนั้น
มีสุขอย่างนี้มีทุกข์อย่างนั้น... ทำไมเราจะต้องคิดว่ามีผู้อื่น หรือสิ่งสำคัญอื่นใดที่จะช่วยเราได้ดีกว่าพระองค์
ขอพูดถึงเรื่องการทำบุญในศาสนาอื่นๆ อีกนิด คงจำได้ว่าในอดีตเคร่งมาก
ห้ามทำบุญหรือช่วยงานในศาสนาอื่นทุกอย่างๆ... แต่ปัจจุบันพระศาสนจักรอธิบายว่า
เราอยู่ในสังคมต้องมีหน้าที่ส่งเสริมกันและกันกระทำในสิ่งที่ดี การทำบุญซองผ้าป่า
สร้างอาคารสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นวัดศาลาธรรม ศาลาการเปรียญหรือสาธารณสถานต่างๆ ถือเป็นเรื่องที่ดี...ช่วยสังคม
ช่วยคนให้มีสถานที่มีโอกาสได้รับการอบรมบ่มนิสัยให้เป็นคนดีแล้วมันจะผิดได้อย่างไร?
ดังนั้น เราจะต้องมั่นใจในความเชื่อความศรัทธาของเราจริงๆ
และพร้อมที่จะแสดงตนยืนยันว่า เราเป็นคริสตชน เวลาไปร่วมพิธีในศาสนาอื่น ต้องชัดเจนว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้
และเช่นเดียวกันเราก็ต้องเคารพในความเชื่อถือความศรัทธาของผู้อื่นที่เขามีความเชื่อและความศรัทธาในศาสนาของเขา
อย่าไปโจมตีหรือว่ากล่าวเขาเป็นอันขาด พูดตรงๆ
ก็คือเราต้องเคร่งครัดในศาสนาของเรา แต่อย่าคลั่งจนไม่เคารพผู้อื่น
แต่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคืออย่าลืมให้พระเจ้ามาเป็นอันดับแรกในทุกสิ่งที่คุณทำ
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระบิดาที่รัก พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียว ลูกขอถวายการนมัสการและความรักทั้งหมดของลูกให้กับพระองค์เพียงผู้เดียว
เอเมน
ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก
หนังสือ One minute
devotions
คุณพ่อวุฒิเลิศ แห่ล้อม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น