วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2566

“ทุกสิ่งเป็นไปได้โดยพระเจ้า”




จริงหรือที่ 'ทุกสิ่งเป็นไปได้ในพระเจ้า'?

 

พระเยซูทอดพระเนตรดูบรรดาสาวกและตรัสว่า “สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ แต่ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า”

มัทธิว 19:26 (THSV11)

 

มัทธิว 19 เล่าถึงการที่เศรษฐีคนหนึ่งทูลถาม “อาจารย์ ข้าพเจ้าต้องทำอย่างไรจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์” พระเยซูบอกให้เขารักษาพระบัญญัติ “อย่าฆ่าคน-เจ้าอย่าล่วงประเวณี-อย่าขโมย-เจ้าอย่าเป็นพยานเท็จ-จงให้เกียรติบิดามารดาของคุณและจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” (เทียบกับ 16,17) เศรษฐีอ้างว่าเขาได้รักษาพระบัญญัติทั้งหมดมาตั้งแต่เกิดแล้ว แต่ยังสงสัยว่าเขาต้องทำอะไรอีกบ้าง พระเยซูตรัสจึงตอบว่า “ถ้าท่านต้องการเป็นคนดีพร้อม ก็จงไปขายทรัพย์สมบัติของท่าน แจกจ่ายให้คนยากจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วมาตามเรามา” (21)

 

มาตรฐานแห่งความสมบูรณ์แบบของพระเยซูทำให้ต้องตกใจ แม้แต่สาวกของพระองค์ที่ได้ยินการสนทนานี้ เมื่อพวกเขาถามถึงเรื่องนี้ พระองค์จึงตรัสว่า “สำหรับมนุษย์สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ แต่ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า” (มัทธิว 19:26)

 

ความสมบูรณ์แบบเป็นไปไม่ได้สำหรับใครอื่นนอกจากพระคริสต์ “เพราะไม่มีใครชอบธรรม ไม่มีเลยสักคนเดียว” (โรม 3:10) การขี่อูฐลอดรูเข็มยังจะง่ายกว่า (ข้อ 24)การแสวงหาชีวิตที่ไร้ตำหนิ

 

ถ้าอย่างนั้นเศรษฐีควรทำอย่างไร? ไม่มีใครจะได้ขึ้นสวรรค์ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ เพราะมีเพียงบุตรมนุษย์เท่านั้นที่ไม่มีบาป ไร้ตำหนิ และสมบูรณ์แบบ แต่เห็นได้ชัดว่าพระองค์ขัดแย้งในพระองค์เองโดยทรงยืนยันว่า  “พระเจ้าทรงเป็นไปได้ทุกสิ่ง?” (มัทธิว 19:26) แล้วพระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไร?

 

ความหมาย

สุขภาพและความมั่งคั่งจะไร้ความหมายหากปราศจากความสัมพันธ์นิรันดร์กับพระเจ้า สมบัติทางวัตถุของเศรษฐีเป็นสิ่งกีดขวางระหว่างเขากับความรอด ด้วยเหตุนี้ พระคริสต์จึงเชื้อเชิญให้ติดตามพระองค์ (มัทธิว 19:21) เส้นทางของเราเองจะไม่นำเราไปสู่สวรรค์ แต่เส้นทางที่พระคริสต์ทรงสร้างไว้สำหรับเราเท่านั้นที่จะทำได้

 

เศรษฐีหนุ่มทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ชีวิตนิรันดร์ แต่ก็ยังไม่ดีพอ โดยพระคุณของพระเจ้าเท่านั้นที่เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์”

 

 ความรอดชั่วนิรันดร์กับพระบิดาเป็นของขวัญที่ดีที่สุด และพระองค์ยังมีของขวัญดีๆ อื่นๆ อีกมากมายสำหรับผู้ที่เชื่อและวางใจ 

 

7 สิ่งที่ดูเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าทำสำเร็จในพระคัมภีร์

ตลอดทั้งคัมภีร์ไบเบิล ผู้คนของพระเจ้าทำภารกิจที่ยากหยั่งถึงได้สำเร็จ

1. โมเสสใช้ไม้เท้าตีเข้าที่ศิลาแล้วมีน้ำไหลออกมาจากก้อนหิน (อพยพ 17:6)

2. หญิงหมันตั้งครรภ์ (ซาร่าห์และเอลิซาเบธ)

3. เอสเธอร์ช่วยญาติชาวยิวของเธอจากการถูกสังหาร (เอสเธอร์ 3-9)

4. มารีย์หญิงพรหมจารีได้ให้กำเนิดพระบุตรของพระเจ้า (ลูกา 1:26 – 2:7)

โมเสส เอสเธอร์ ซาราห์ เอลิซาเบธ และมารีย์เข้าใจว่าไม่มีสิ่งใดอยู่นอกเหนืออำนาจของพระเจ้า

5. ในผู้วินิจฉัยบทที่ 4 พระเจ้ามอบยาบินและกองทัพคานาอันไว้ในมือของอิสราเอล แม้ว่ากองทัพศัตรูจะแข็งแกร่งกว่าของอิสราเอล

6. ใน 2 ซามูเอล 5 ดาวิดทูลถามพระเจ้าว่าควรโจมตีชาวฟิลิสเตียหรือไม่ พระเจ้าทรงสัญญากับดาวิดว่าจะ “มอบชาวฟีลิสเตียไว้ในมือของท่าน” ซึ่งเป็นคำสัญญาที่พระองค์ทำสำเร็จ (19,20)

พระเจ้าจะทรงเอาชนะศัตรูฝ่ายเนื้อหนังของเรา และยังทรงพิชิตศัตรูที่เรามองไม่เห็นอีกด้วย ดังที่จอห์น ไพเพอร์กล่าวไว้ว่า:

 ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีการเสพติด ไม่มีปีศาจ ไม่มีนิสัยไม่ดี ไม่มีความผิด ไม่มีความเลวร้าย ไม่มีความอ่อนแอ ไม่มีอารมณ์ฉุนเฉียว ไม่เจ้าอารมณ์ ไม่เย่อหยิ่ง ไม่สมเพชตัวเอง ไม่วิวาท ไม่อิจฉาริษยา ไม่วิปริต ไม่โลภ ไม่มีความเกียจคร้านใดๆที่พระคริสต์จะเอาชนะไม่ได้ในฐานะศัตรูของพระองค์”

7. โยบเป็นคนของพระเจ้าที่สูญเสียทุกสิ่ง แต่องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ “สามารถทำในชีวิตของโยบในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ด้วยความพยายามของมนุษย์” ตามความเห็นนี้

พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำทุกสิ่งให้สำเร็จได้ นั่นคือเวลาที่พระเจ้าสำแดงฤทธานุภาพอย่างน่าเกรงขามที่สุด

 

3 ข้อควรจำเกี่ยวกับ “ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า”

1. พลังที่จะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จนั้นมาจากพระเจ้า

ในตอนแรก เราอาจให้เครดิตกับตัวละครหลักในเรื่องราวข้างต้นกับชัยชนะ แต่แท้จริงแล้วพลังนั้นมาจากพระบิดา

  

2. สิ่งที่เป็นไปไม่ได้นั้นสำเร็จได้ด้วยพระสิริของพระเจ้า

พระเจ้าทรงเจาะจงเป็นพิเศษว่าพระองค์ทรงแสดงพลังนั้นอย่างไรและที่ไหน ความสำเร็จเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยเปล่าประโยชน์ พระเจ้าทรงนำน้ำที่ให้ชีวิต ช่วยชีวิต และสร้างชีวิต ทุกสิ่งเป็นไปได้ แต่มีเพียงบางสิ่งเท่านั้นที่ให้ประโยชน์ในแผนการบริหารของพระเจ้า

พระเจ้าได้รับเกียรติมากที่สุดโดยทำให้เหตุการณ์ที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ผ่านไปได้ และแสดงให้เห็นว่าพลังของพระองค์เท่านั้นที่เพียงพอ

 

3. ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จเพื่อประโยชน์ของเรา

พระเยซูต้องการให้ผู้ติดตามได้รับประสบการณ์มากกว่าแค่การเอาชีวิตรอดหรือความมั่งคั่งทางวัตถุในตัวเอง พระองค์มาเพื่อประทานชีวิตอย่างบริบูรณ์ (ยอห์น 10:10); พระองค์ได้ทรงสำแดงหนทางแห่งชีวิตแก่ข้าพระองค์ พระองค์จะทรงให้ข้าพระองค์เปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีต่อหน้าพระองค์ มีความชื่นบานอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์เป็นนิตย์” (สดุดี 16:11)

 

เมื่อเราอธิษฐานในสิ่งที่ “เป็นไปไม่ได้”

ทั้งหมดที่พระเจ้าขอคือห้เราเชิญพระองค์เข้ามาในความยุ่งเหยิงของชีวิตเรา เพื่อพระองค์จะได้สำแดงฤทธานุภาพของพระองค์ เมื่อปัญหาดูเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมและการอธิษฐานขอการแก้ไขดูไร้จุดหมาย พระเยซูตรัสว่า “จงขอต่อไป แล้วพระเจ้าจะประทานให้ จงค้นหาต่อไปก็จะพบ จงเคาะต่อไปแล้วประตูจะเปิดให้” (ลูกา 11:9)

 

ระลึกถึงทุกครั้งถึงสิ่งที่พระองค์ทำ พระองค์ทรงชุบชีวิตคนตาย – ลูกสาวของหัวหน้าธรรมศาลา (มาระโก 5) ลูกชายของหญิงม่าย (ลูกา 7) ลาซารัส (ยอห์น 11) และการคืนพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์เอง (มาระโก 16) พระเจ้าสามารถเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้เป็นชัยชนะ: การติดยาหรือพฤติกรรมที่ไม่ดีต่างๆๆ การแต่งงานที่กำลังจะสิ้นสุดลง หรือเด็กที่เอาแต่ใจที่ดูเหมือนยากเกินจะเยียวยา

 

Erik Raymond เขียนที่ The Gospel Coalition ว่า “การอธิษฐานเป็นสิทธิพิเศษที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อสำหรับผู้ที่วางใจและเห็นคุณค่าของพระเยซู”

 

คริสเตียนได้รับเชิญให้เข้าร่วมการอธิษฐาน ซึ่งไม่เหมือนกับการได้รับคำรับรองจากพระเจ้าว่า “ใช่” ในการอธิษฐานทุกครั้ง เราสามารถอธิษฐาน ทูลขอ และขอให้พระองค์ทำให้ความปรารถนาที่ดูเหมือนจะสมเหตุสมผลและเป็นไปในพระเจ้าได้ทุกอย่างก็จริง แต่ไม่มีการรับประกันว่าพระองค์จะทรงตอบรับในสิ่งที่เราทูลขอทุกเรื่อง ใครเล่าจะหยั่งรู้พระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า? หรือใครเล่าเป็นที่ปรึกษาของพระองค์?  (โรม 11:34, ESV) แต่สิ่งที่ดีทุกอย่างมาจากพระองค์ (ยากอบ 1:17)

 

ความสัมพันธ์อันอบอุ่นและใกล้ชิดของเรากับพระเจ้าเป็นของขวัญ ความสามารถในการพูดกับพระบิดาโดยตรงนั้นจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่ดังที่พระเยซูตรัสว่า: ทุกสิ่งเป็นไปได้โดยพระเจ้า (มัทธิว 19:26)


ความคิดเห็นสุดท้าย

ความถูกต้องของคำคำปฏิญาณหรือคำสัญญาล้วนขึ้นอยู่กับบุคคลที่ให้ไว้ แล้วใครเป็นผู้ที่กล่าวว่า “ทุกสิ่งเป็นไปได้โดยพระเจ้า”?คำตอบคือ พระเยซู ผู้เป็นพระเจ้าได้กล่าวไว้ จากพระคัมภีร์ เรารู้ว่าพระเจ้าไม่โกหกหรือแม้แต่พูดเกินจริง พระองค์จะทรงรักษาคำพูดของพระองค์ นี่คือความมั่นใจพิเศษของเรา

 

เรารับใช้พระเจ้าที่เชี่ยวชาญในการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ถ้าพระองค์สามารถแยกมหาสมุทร ชุบชีวิตคนตายและฟื้นคืนชีพ รักษาคนง่อยหรือตาบอดตั้งแต่เกิด และเลี้ยงอาหารคนหลายพันคน โดยแทบไม่เหลืออะไรเลยที่พระองค์จะไม่ทำอะไรเพื่อคนที่พระองค์รัก? พระองค์ทรงสัญญากับเราว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระองค์ ดังนั้นเราต้องเชื่อคำสัญญานั้น

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

Christianity.com

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2566

พระเจ้าทรงเสริมกำลังแก่เราอย่างไร

 


พระเจ้าทรงเสริมกำลังแก่เราอย่างไร

   

ตอนนี้ เราอาศัยอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยปัญหาและความยุ่งยาก  โลกที่ต้องการให้เราผ่านพ้นมันไปได้อย่างเข้มแข็ง แต่น่าเศร้าที่เราไม่สามารถเสริมกำลังที่เราต้องการให้กับตัวเองได้เสมอไป  ไม่เป็นไร เนื่องจากเราไม่ได้ได้สมบูรณ์แบบ จึงไม่แปลกที่มนุษย์อย่างเราจะอ่อนแอในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง แล้วเราจะหาความเข้มแข็งที่จะช่วยให้เราอดทนแม้ในช่วงเวลาที่ทุกข์ยากที่สุดได้จากที่ใด? บางทีคุณอาจเคยถามตัวเองด้วยคำถามนี้ และถ้าคุณเคย ฉันขอแนะนำให้คุณอ่านบทความนี้  ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์หรือไม่ก็ตาม

 

อะไรที่มากำหนดว่าเรามีความแข็งแกร่ง? ฉันเชื่อว่าความแข็งแกร่งสามารถกำหนดได้จากความอดทนที่จะเดินไปข้างหน้าแม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ลองจินตนาการว่าตัวเองกำลังเดินอยู่บนสะพานที่สั่นคลอนเหนือลำธารที่มีน้ำเชี่ยวกราก คลื่นกระทบโขดหินที่แหลมคม ลมพัดสะพานแรงมาก  ถ้าคุณมีความตั้งใจที่จะเดินไปบนสะพานหรือจินตนาการถึงภาพของตัวเองที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง คุณก็อาจจะมีแรงเดินข้ามมันไปถึงอีกฝั่งได้  ว่าแต่ คุณมีความเชื่อว่าคุณจะทำมันได้หรือไม่? มองดูแล้วมันน่ากลัวอยู่ใช่ไหม? ดังนั้น ถ้าเราไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ แล้วเราจะพึ่งพาใคร? คำตอบนั้นง่ายมาก คือ ให้เราพึ่งพาพระเจ้า. เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้าจะประทานกำลังที่เราต้องการ ฉันขอแบ่งปันข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่งที่ฉันชื่นชอบซึ่งจะช่วยเตือนใจเราถึงวิธีที่พระเจ้าประทานกำลังแก่เรา ในพระธรรม อิสยาห์ 41:10

 

ในอิสยาห์ 41:10 พระเจ้าตรัสว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะเสริมกำลังเจ้า เราจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา”

 

นี่เป็นข้อพระคำภีร์ที่ฉันโปรดปรานเกี่ยวกับความแข็งแกร่ง ! ในข้อความนี้ พระเจ้าเตือนเราด้วยคำพูดปลอบโยนว่าพระองค์จะอยู่กับเราเสมอ พระองค์ทรงหนุนใจเราว่า อย่ากลัว เลย เพราะพระองค์จะทรงประคองเราด้วยพระหัตถ์ขวาอันชอบธรรม เพื่อให้เรายืนหยัดอย่างมั่นคง พระองค์ทรงบอกให้เราเชื่อในพระองค์ และนั่นอาจเป็นงานที่ยากและท้าทาย เพราะคุณไม่มีทางรู้ว่าอีกด้านของสะพานจะมีอะไรรออยู่ และระหว่างทางจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่พระเจ้าต้องการให้คุณมีความเชื่อในพระองค์ พระองค์ต้องการให้คุณให้กำลังใจตัวเองและรวบรวมกำลังเพื่อให้พระองค์ได้เดินไปกับคุณ   คุณเคยรับรู้ถึงการอัศจรรย์ที่คุณรู้สึกได้ว่าตนเองไม่ได้ดิ้นรนอยู่เพียงลำพังบ้างไหม ขอให้รู้ไว้ว่ามีใครอีกคนยินดีที่จะร่วมเดินไปบนสะพานกับคุณ 

 

คุณจะเลือกเดินข้ามสะพานไปคนเดียว? หรือ คุณจะยอมรับความช่วยเหลือพระเจ้าและให้พระองค์ประทานกำลังที่คุณกำลังต้องการเพื่อที่คุณจะสามารถข้ามไปอีกฝั่งได้ ? คุณจะยอมให้ตัวเองมีศรัทธาในพระเจ้าหรือไม่?    แต่ไม่ว่าคำตอบของคุณจะเป็นอย่างไร ฉันขอสนับสนุนให้คุณมีศรัทธาในพระเจ้า ฉันขอสนับสนุนให้คุณยอมให้พระองค์ประทานกำลังที่จำเป็นแก่เราเพื่อที่เราจะได้ข้ามไปอีกฝั่งของสะพาน หรืออีกนัยหนึ่ง คือยอมให้พระองค์ประทานกำลังที่คุณอาจกำลังต้องการเพื่อคุณจะได้มีความอดทนและ สามารถผ่านทุกปัญหาของชีวิตไปได้

 

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า  โปรดประทานกำลังแก่ข้าพระองค์เมื่อข้าพระองค์อ่อนแอ โปรดมอบความรักเมื่อข้าพระองค์รู้สึกถูกทอดทิ้ง โปรดมอบความกล้าหาญเมื่อข้าพระองค์กลัว โปรดมอบสติปัญญาเมื่อข้าพระองค์รู้สึกโง่เขลา โปรดปลอบโยนเมื่อข้าพระองค์อรู้สึกโดดเดี่ยว โปรดมอบความหวังเมื่อข้าพระองค์รู้สึกว่าถูกปฏิเสธ และโปรดมอบสันติสุขเมื่อข้าพระองค์ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย อธิษฐานในนามพระเยซู อาเมน

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

Timothyministry

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2566

ฉันเป็นใครในพระคริสต์?

 


ฉันเป็นใครในพระคริสต์?

รู้จักตัวตนที่แท้จริงขอคุณ:ตัวตนในพระคริสต์

 

ยกมือขึ้นหากคุณเคยถามคำถามนี้ว่า “ฉันเป็นใครในพระคริสต์” ตัวตนที่แท้จริงของฉันคืออะไร? คำถามเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเข้าใจของเราในฐานะลูกๆของพระผู้เป็นเจ้า

 

คุณอาจเคยถามคำถามเหล่านี้มาก่อน: ฉันเป็นใคร? จุดประสงค์ของฉันคืออะไร? ทำไมฉันถึงอยู่ที่นี่? ฉันควรทำอย่างไรกับชีวิตของฉัน?

 

เราทุกคนต่างก็เคยสงสัย  ดังนั้นอย่ารู้สึกว่าคุณอยู่คนเดียวหรือคุณเป็นคนคนเดียวที่ถามคำถามนี้ เราอยู่ในโลกที่ต้องแข่งขันกันทุกวันเพื่อตัวตนของเรา

 

  ฉันเป็นใครในพระคริสต์?

ฉันเป็นใครในพระคริสต์?  ตัวตนที่แท้จริงของคุณในสิ่งที่คุณเป็น ถูกระบุในพระคริสต์ ทันทีที่คุณยอมรับพระองค์เข้ามาในชีวิตในฐานะพระเจ้าและผู้ช่วยให้รอด คุณก็เป็นของพระองค์

 

เราจะลืมสิ่งนี้ได้เร็วและมันง่ายมากเมื่อมีสิ่งรบกวนเรา ไม่ว่าจะเป็น ความสับสน คำวิจารณ์ และความยุ่งเหยิงของโลกนี้

 

ดังนั้นหากคุณต้องการการเตือนใจตนเองในวันนี้ ว่า คุณได้รับการไถ่อย่างมีค่าโดยพระโลหิตของพระคริสต์!  ซึ่งเราไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าความรักของพระบิดานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด

 

“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์ (ยอห์น 3:16)

 

คุณเป็นของพระองค์ พระองค์ทรงซื้อคุณด้วยราคาพระบุตรของพระองค์

 

หากเราเติบโตมาในคริสตจักรนี่เป็นเรื่องที่เราจะ "ได้ยิน" ได้ไม่ยาก แต่เท่าที่ผ่านมาคุณเคยใช้เวลาในการพิจารณาถึงข้อเท็จจริงเรื่องนี้อย่างจริงจังบ้างหรือไม่? เพราะนี่คือความจริงอันทรงพลังที่เป็นแก่นแท้ของตัวตนของเรา

 

ลองคิดดูสักนิดเกี่ยวกับการที่พระเยซูเสียสละชีวิตเพื่อคุณ และเมื่อเรารับของประทานนี้ แสดงว่าเรายอมรับตัวตนของพระองค์อย่างเต็มที่และสมบูรณ์

 

เราเป็นของพระองค์ ตัวตนของพระองค์นำมาซึ่งความมั่งคั่ง อำนาจ และความงามมากกว่าที่โลกจะมอบให้เราได้!

 

จงวางใบขับขี่ -ใบประกอบวิชาชีพ- บัตรประจำตัว-บัตรโรงยิม  และบัตรลงทะเบียนทางการเมืองลง แล้วตระหนักว่าเรามีธงซึ่งตราสัญลักษณ์แห่งความรักอยู่เหนือเราโดยบอกว่าเราเป็นของพระองค์ (4เขาพาดิฉันไปในห้องโถงงานเลี้ยง และใครๆ ก็เห็นว่าเขารักดิฉันมากเพียงไร เพลงโซโลมอน 2:4)!

 

ตัวตนของฉันในพระคริสต์หมายความว่าอย่างไร?

ก่อนอื่น เมื่อคุณอยากรู้ว่า “ฉันเป็นใครในพระคริสต์” หรือตัวตนของฉันในพระคริสต์หมายความว่าอย่างไร? มันหมายความว่าคุณถูกรับเข้าเป็นครอบครัวของพระเจ้า คุณไม่ถูกระบุว่าเป็นเด็กกำพร้าอีกต่อไป – หรือการถูกแยกจากพระเจ้าเพราะบาปอีก

 

เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์ทรงไถ่เราจากบาปและเปิดทางให้เราถูกนำกลับไปหาพระบิดาของเรา เมื่อเราสารภาพความต้องการถึงความรอด เราก็ได้เข้ามาในครอบครัวของพระเจ้าทันทีในฐานะลูกสาวหรือลูกชายของกษัตริย์!

 

ดังนั้นเมื่อคุณถามว่า ฉันเป็นใครในพระคริสต์? ตอนนี้คุณได้เป็นลูกบุญธรรมของราชาแห่งราชา!

 

ตัวตนใหม่ของคุณหมายความว่าคุณมีอิสระในพระคริสต์ เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์ทรงปลดโซ่ตรวนแห่งความบาปเพื่อเรา เราไม่ใช่ทาสของบาปอีกต่อไป!

 

หมายความว่า สิ่งที่เคยจำกัดคุณ ควบคุมคุณ และกดขี่คุณ บัดนี้มันไม่มีอำนาจเหนือคุณแล้ว! คุณเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ในพระคริสต์และโดยอำนาจของพระองค์ คุณสามารถดำเนินชีวิตอย่างอิสระได้แล้ว

 

ดังนั้นเมื่อคุณถามว่า ฉันเป็นใครในพระคริสต์? ตอนนี้คุณเป็นอิสระจากอำนาจของบาปและมีอิสระอย่างแท้จริงในพระคริสต์จากความบาป ความอับอาย ความกังวล และความกลัว

 

นี่เป็นเรื่องจริงแม้ว่าคุณจะไม่รู้สึกถึงอิสระนั้นก็ตาม การค้นพบและการเติบโตเพื่อรู้จักพระคริสต์มากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้ความเชื่อของคุณเติบโตขึ้นในเรื่องนี้ เมื่อคุณไล่ตามพระองค์ คุณจะเริ่มเชื่อพระคำของพระองค์ที่เกี่ยวกับคุณ

 

ฉันเป็นใครในพระคัมภีร์คริสต์

พระคัมภีร์เหล่านี้ได้บอกเราเอาไว้เกี่ยวกับ ฉันเป็นใครในพระคริสต์ เพื่อเตือนคุณถึงความจริงเหล่านี้ จงดื่มด่ำกับข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ที่ระบุเกี่ยวกับตัวตนและจุดประสงค์เพื่อให้คุณมีตัวตนที่แท้จริง!

 

1 ยอห์น 3:1 ความรักที่พระบิดาทรงมีต่อเราทั้งหลายนั้นใหญ่หลวงปานใดในการที่เราได้ชื่อว่าบุตรของพระเจ้า! และเราก็เป็นเช่นนั้น! เหตุที่โลกไม่รู้จักเราก็เพราะโลกไม่รู้จักพระองค์

โปรดรู้ว่า: คุณเป็นลูกของพระเจ้า

 

2 โครินธ์ 5:17 เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา!

โปรดรู้ว่า: คุณได้ถูกสร้างใหม่! อดีตของคุณไม่ได้กำหนดคุณ คุณมีชีวิตฝ่ายวิญญาณใหม่ในพระคริสต์!

 

1 เปโตร 2:9 แต่พวกท่านเป็นประชากรที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรร เป็นปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นพลเมืองของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้ประกาศพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านออกจากความมืดเข้าสู่ความสว่างอันล้ำเลิศของพระองค์

โปรดรู้ว่า: คุณได้รับเลือก  คุณเป็นชนชาติบริสุทธิ์ คุณเป็นพลเมืองของพระเจ้า - แม้ว่าคุณจะไม่รู้สึกก็ตาม! คุณเป็นสมบัติที่พิเศษของพระเจ้า เพราะพระองค์ประทานพระบุตรให้อยู่กับเรา!

 

กาลาเทีย 3:26 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้าโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์

โปรดรู้ว่า: คุณเป็นลูกของพระเจ้า พระองค์ตรัสเช่นนี้หลายครั้งเพราะทรงต้องการให้เรารู้ว่าเราเป็นของพระองค์!

 

กาลาเทีย 2:20 ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหากทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้ ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักข้าพเจ้าและประทานพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า

โปรดรู้ว่า: ตอนนี้ชีวิตของคุณอยู่ในพระคริสต์ ชีวิตนี้ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ เชื่อพระวจนะของพระเจ้า และยอมรับความจริงนี้ว่าพระองค์ทรงรักคุณมากจนยอมตายเพื่อคุณ

 

อิสยาห์ 43:4 เพราะเจ้าล้ำค่าและมีเกียรติในสายตาของเรา และเพราะเรารักเจ้า เราจึงยอมเอาผู้คนแลกกับเจ้า เอาประชากรแลกกับชีวิตของเจ้า...

โปรดรู้ว่า: คุณมีค่าและได้รับเกียรติในสายพระเนตรของพระเจ้า พระองค์รักคุณอย่างแน่นอน!

 

โรม 8:17 บัดนี้ถ้าเราเป็นบุตรของพระองค์แล้ว เราก็เป็นทายาทคือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ ถ้าเราร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์ เราก็จะร่วมในพระเกียรติสิริของพระองค์ด้วย

โปรดรู้ว่า: คุณเป็นลูกของพระเจ้าซึ่งหมายถึงทายาทของพระเจ้าด้วย พระองค์ไม่สามารถจะบอกคุณมากพอว่าคุณเป็นพระองค์และเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของพระองค์ จะเป็นแบบนั้นเสมอและตลอดไป ไม่ว่าคุณจะต้องเจอบาป ความผิดพลาด หรือความยุ่งเหยิงใดๆ พระองค์ต้องการให้คุณกลับมาหาพระองค์

 

 อิสยาห์ 43:1 แต่บัดนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า ยาโคบเอ๋ย พระองค์ผู้ทรงสร้างท่าน อิสราเอลเอ๋ย พระองค์ผู้ทรงปั้นท่าน“อย่ากลัวเลย เพราะเราได้ไถ่เจ้าไว้แล้วเราได้เรียกชื่อเจ้า เจ้าเป็นของเรา"

 โปรดรู้ว่า: พระองค์ทรงเรียกคุณตามพระนามส่วนตัวว่าคุณเป็นของพระองค์ พระองค์รู้จักคุณดี - ทุกสิ่งที่คุณเคยทำและทุกสิ่งที่คุณจะทำ พระองค์ปรารถนาที่จะมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับคุณ พระองค์ทรงทราบโดยทางพระคริสต์ว่าพระองค์สามารถประทานเสรีภาพ ความเข้มแข็ง และความสมบูรณ์อันยั่งยืนแก่คุณได้

 

อิสยาห์ 49:16 ดูเถิด เราได้สลักชื่อของเจ้าไว้บนฝ่ามือของเรา กำแพงของเจ้าอยู่ตรงหน้าเราเสมอ..

โปรดรู้ว่า: คุณเป็นของพระองค์

 

การแสวงหาตัวตนของเราในพระคริสต์

ไม่น่าแปลกใจเลยที่เราจะตั้งคำถามว่า “ฉันเป็นใครในพระคริสต์” เมื่อโลกของเราเต็มไปด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ -รายการโชว์ต่างๆ – ดารานักร้อง- ข้อความ และสื่อล่อลวงที่ทำให้เรารู้ได้ยากมากขึ้นว่าแท้จริงแล้วเราเป็นใคร?

 

ในความเป็นจริงสิ่งล่อลวงเหล่านี้มันพยายามที่จะมีส่วนร่วมในตัวตนของเราและอ้างสิทธิ์ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเรา ทุกๆอย่างต่างมีเครื่องหมายกำกับเอาไว้: เช่น

-วิชาชีพของเรา

-ความร่วมมือทางการเมือง

-การศึกษา

-นิกาย

-สถานภาพสมรส/โสด

เราถูกระบุโดยเครื่องหมายมากมายในโลกนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เราจะตั้งคำถามว่าเราเป็นใครหรือสงสัยว่าฉันเป็นใครในพระคริสต์

 

ยิ่งไปกว่านั้น การรู้ว่าฉันเป็นใครในพระคริสต์เป็นเครื่องบ่งชี้ตัวตนนิรันดร์ที่ไว้วางใจได้ และน่าเชื่อถือที่สุดที่คุณเคยมี!

 

กลยุทธ์ที่โลกทำให้เราสงสัย:

จงระวังว่าโลกพยายามที่จะขโมยตัวตนของคุณในพระคริสต์ไป และเราสรุปออกมาได้สี่กลยุทธ์ง่ายๆ ที่มันแอบแฝงเข้ามาและทำให้เราสงสัยหรือทำให้เราลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดไป

 

กลยุทธ์ #1: สิ่งรบกวนที่ทำให้ไขว้เขว

ฉันเป็นใครในพระคริสต์  กับ สิ่งรบกวนที่ทำให้ไขว้เขว: เราตกหลุมรักสิ่งรบกวนที่เข้ามาทำให้เราไขว้เขว เช่นการพบว่าตัวตนของเราขึ้นอยู่ในจำนวนเพื่อนที่เรามี- ยี่ห้อรถที่เราขับ -การกินหรูอยู่แพง- ขนาดของที่พักอาศัย- ตำแหน่งงานของเรา -อำนาจของเรา หรือเราทำเงินได้มากเท่าไหร่

 

สิ่งรบกวนอาจทำให้เราสงสัยว่าเราเป็นใครและทำให้เราสูญเสียความสนใจในตัวตนที่แท้จริงของเราไปในที่สุด บ่อยแค่ไหนที่คุณละสายตาจากตัวตนของคุณและหลงไหลไปกับสิ่งรบกวนรอบๆ ตัวคุณ? เพราะฉันเองก็เผลอตกหลุมรักไปกับสิ่งล่อลวงเหล่านี้เช่นกัน

 

กลยุทธ์ #2: ความสับสน

ฉันเป็นใครในพระคริสต์ กับ ความสับสน: ความสับสนทำให้เกิดความสงสัยและตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวตนของเรา หลายครั้งที่โลกบอกเราว่าเราต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้นะเพื่อเราจะกลายเป็น..... (เติมในช่องว่าง)    ตัวอย่างเช่น 

-คุณต้องเป็นอย่างนั้นนะ อย่างนี้นะ 

-โด่งดังบนเฟซบุ๊กสื่อสังคมออนไลน์เพื่อให้เป็นที่รู้จักและจดจำ

-ความสวยงามภายนอกที่คนจะสังเกตเห็น

-การประสบความสำเร็จเป็นเศรษฐี

เราถูกปรนเปรอจากสื่อที่มีอิทธิพลต่างๆ ว่าอะไรคือความสวยงามและเป็นที่นิยมในสังคมและอะไรคือการประสบความสำเร็จ ทั้งหมดนี้มันช่างน่าหลงใหลและเราเผลอคิดว่า “ใช่แล้ว! ฉันต้องการสิ่งเหล่านี้ นี่คือสิ่งที่ฉันต้องทำเพื่อที่ฉันจะได้กลายเป็นสิ่งนั้น” เหมือนกับที่คนอื่นๆเป็น

 

ดังนั้นเราจึงถูกล่อลวงให้เข้าร่วมและการเร่งรีบด้วยวิธีการของเรา ด้วยความหวังที่จะได้เป็นอย่างที่โลกกำหนดไว้

 

มันนำไปสู่ความสับสนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเราทำทุกอย่างที่จำเป็นทั้งที่ยังไม่ได้ทบทวนให้ดี  สุดท้ายมันก็นำเราไปสู่ความสงสัยและผิดหวัง

 

กลยุทธ์ #3: การวิจารณ์

ฉันเป็นใครในพระคริสต์ กับ การวิจารณ์: ไม่ว่าจะเป็นการบังคับตัวเองหรือจากความคิดเห็นเชิงลบ การวิจารณ์มักทำให้เราสงสัยในตัวตนของเราได้มากเช่นกัน

 

เราตกหลุมพรางของการเปรียบเทียบและการวิจารณ์ไปอย่างไม่รู้ตัว ว่าเราสอดคล้องกับคนอื่นหรือไม่  หรือการที่เรามีความคิด และความประทับใจที่เกี่ยวกับตัวเองในเชิงลบ เพียงเพราะว่าเราไม่ได้ มาตรฐานตามแบบของโลก

 

โลกนี้อาจไม่ได้พูดตรงๆ แต่ข้อความมันชัดเจนว่า “คุณยังไม่ดีพอ” แต่จงจำไว้ว่า ในพระคริสต์ เรามีครบทุกสิ่ง

 

กลยุทธ์ #4: ความยุ่งวุ่นวาย

ฉันเป็นใครในพระคริสต์  กับ ความยุ่งวุ่นวาย: เมื่อเราเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาและยุ่งวุ่นวายกับชีวิต เราจะจัดลำดับความสำคัญผิดเพี้ยนไป และตัวตนของเราจะถูกกีดกัน เรากำลังยุ่งอยู่กับการเป็น มุ่งมั่น เร่งรีบ และไขว่คว้าเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดไปเรื่อยๆ

 

ไม่น่าแปลกใจเลยที่เราจะตั้งคำถามกับพระเจ้าหรือลืมว่าเราเป็นใคร!

 

นี่เป็นกลยุทธ์ที่เกิดขึ้นและแต่ละวิธีก็สามารถทำให้เราสงสัยและตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวตนของเราว่าเราเป็นใคร? โลกชอบให้คุณคิดว่าทุกอย่างนั้นเกี่ยวกับตัวคุณ(เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง) และคุณต้องมุ่งมั่นตั้งใจในการสร้างตัวตนในแบบที่โลกกำหนดขึ้น

 

ฉันต้องการชี้ให้เห็นที่นี่ หรือบางทีคุณอาจจะสังเกตเห็นแล้วว่าสิ่งที่โลกกำหนดนั้นมันตรงกันข้ามกับพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง โลกฉกฉวยและพยายามที่จะรับเอาสิ่งที่พระเจ้าประทานมาให้แล้วใช้ไปอย่างฟุ่มเฟือย

 

พระคริสต์แต่เพียงผู้เดียวที่ให้ตัวตนที่แท้จริงแก่เรา

 

เครื่องหมายประจำตัวใหม่ของคุณ: การระบุตัวตนในพระคริสต์

คุณถูกระบุตัวตนไว้ในพระคริสต์ ฉันเป็นใคร? ในพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้แตกต่างมากกับที่โลกได้ระบุตัวตนของคุณ

 

สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้และได้รับการเตือนอยู่เสมอถึงตัวตนที่แท้จริงของเรา คือ โลกของเรามีการแก่งแย่งชิงดีกันมากขึ้นทุกวัน และเราต้องมีพื้นฐานที่มั่นคงในการรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเราซึ่งมันสำคัญที่สุด

 

ฉันแนะนำให้คุณลองเขียนข้อพระคัมภีร์นี้และติดไว้ทั่วบ้าน ที่ทำงาน และในรถของคุณ ใช้กระดาษโน้ตเพื่อช่วยให้คุณได้รับการเตือนอยู่ตลอดเวลา เขียนข้อพระคำเหล่านี้ลงในสมุดบันทึก บนกระดานดำ หรือบนกระจกห้องน้ำของคุณด้วยปากกาที่ลบออกได้

 

ฉันเป็นใครในพระคริสต์? ตัวตนที่แท้จริงของเราพบได้ในองค์พระผู้เป็นเจ้า เราเป็นของพระองค์และไม่มีสิ่งใดที่โลกมอบให้ได้หรือมีสิ่งล่อใจใดมาเทียบได้กับสิ่งที่เราได้รับจากการเป็นลูกของพระองค์

 

จุดประสงค์ของเราอยู่ในมาระโก 12:30-31: 30จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านอย่างสุดใจ สุดจิต สุดความคิด และสุดกำลังของท่าน’ 31ส่วนข้อที่สองคือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ ไม่มีบทบัญญัติใดใหญ่กว่าสองข้อนี้”

 

หลังจากนี้ให้เรามาเฝ้าจับตาดูกันว่า...เราเป็นใครและเรากำลังถูกเรียกให้ทำอะไร!


 คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อธิษฐานขอให้พระองค์ทรงไขหัวใจของข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะได้มีชีวิตอยู่อย่างเต็มที่เพื่อระบุตัวตนที่แท้จริงของข้าพระองค์ในพระองค์ โปรดประทานการสำแดงที่ชัดเจนแก่ข้าพระองค์เพื่อให้ข้าพระองค์เห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเห็นข้าพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้ยืนหยัดในความจริงของพระองค์ต่อการโจมตีของศัตรูและปกป้องจิตใจข้าพระองค์ด้วยความระแวดระวัง (สุภาษิต 4:23) อธิษฐานในนามพระเยซู อาเมน


ที่สำคัญที่สุด จงระแวดระวังใจของเจ้า

เพราะทุกสิ่งที่เจ้าทำล้วนไหลออกมาจากใจ

-สุภาษิต 4:23


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

raiseyoursword

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2566

จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า

 


คุณสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้าครบชุดแล้วหรือยัง?

จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อจะสามารถต่อสู้กับอุบายของมารได้

เอเฟซัส 6:11 (THSV11)

 

เรากำลังอยู่ในยุคที่พระคัมภีร์อธิบายว่าเป็น "วันแห่งความชั่วร้าย"

 

สงครามฝ่ายวิญญาณกำลังโหมกระหน่ำไปทั่ว ใช่แล้ว การต่อสู้ทางวิญญาณกำลังเกิดขึ้นในโลกนี้ เราอาจมองไม่เห็นด้วยตาธรรมชาติ แต่มันชัดเจนเหมือนแสงกลางวันผ่านดวงตาแห่งวิญญาณ

 

พระเจ้าได้ประทานความคุ้มครองแก่ผู้เชื่อ เราต้องต่อสู้ในศึกครั้งนี้ มันไม่ใช่อาวุธทางกายภาพ แต่เป็นอาวุธทางวิญญาณที่เรียกว่า "ยุทธภัณฑ์ของพระเจ้า"

 

2 เปโตร 1:3 กล่าวว่าพระเจ้าได้ให้ทุกสิ่งแก่เราที่จำเป็นต่อชีวิตและต่อการดำเนินตามทางพระเจ้า โดยการรู้จักพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกเราด้วยพระสิริและคุณธรรมของพระองค์เอง


กล่าวอีกนัยหนึ่ง เปโตรกำลังบอกว่าพระเจ้าประทานยุทธภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณแก่เรา ชุดเกราะนี้เป็นชุดเกราะของพระเจ้า สร้างโดยพระเจ้าและมาจากพระเจ้า พระองค์อนุญาตให้เราใช้มันได้

 

ชุดเกราะคือเสื้อผ้าฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าประทานให้เราสวมใส่และดำเนินต่อไปในโลกที่สงครามฝ่ายวิญญาณยังคงโหมกระหน่ำอยู่ทุกวันโดยศัตรูที่สู้กับประชากรของพระเจ้า

 

เราต้องสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้าใช่ไหม? ใช่แล้ว เราต้องใส่มันทุกวัน ชุดเกราะจะไม่เกิดประโยชน์สำหรับเราหากเราไม่สวมมันทุกวัน เราไม่ได้ใส่แค่ชิ้นหรือสองชิ้น แต่ใส่ทั้งหมด หากไม่เป็นเช่นนั้น เราจะไม่ได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่ และเสี่ยงต่อการถูกโจมตีของมารซาตาน

 

เมื่อเรายืนหยัดอยู่ได้ เราไม่ต้องยืนหยัดต่อสู้กับปีศาจด้วยกำลังของเราเอง เพียงแค่เราต้องต่อต้านกลอุบาย(สิ่งล่อลวง)ของมัน

 

ถ้าเราต้องยืนหยัดต่อสู้กับซาตานด้วยกำลังของเราเอง เราคงไม่มีใครรอด มีเพียงอาวุธของพระเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยเราสามารถต้านทานการทดลองที่เหมือนไฟและแผนการชั่วร้ายที่รับประกันว่าซาตานจะส่งมาถึงเรา

 

การต่อสู้กับแผนการของปีศาจสามารถต่อสู้ได้ด้วยอาวุธทางวิญญาณเท่านั้น หากคุณต่อสู้ด้วยอาวุธทางโลก คุณจะพ่ายแพ้ในการต่อสู้ทุกครั้ง

 

คุณมีชุดเกราะครบทั้งหมดหรือไม่? ถ้าไม่ ก็ถึงเวลาที่ต้องสวมเพราะถ้าคุณไม่ได้สวมเสื้อผ้าครบชุด คุณก็จะไม่ได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่ เสื้อเกราะเหล่านี้เราจะต้องสวมใส่เพื่อเอาชนะการต่อสู้ความชั่วร้ายจากศัตรูที่กำลังจะมาถึงคุณ

 

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้เราแต่งกายให้เต็มยศ ใส่ชุดเกราะแล้วลุยต่อ! ทำไมละ? เพราะเราได้รับการบอกเล่าว่าทำไมเราจึงต้องใส่ให้ครบซึ่งมีบอกไว้ในเอเฟซัส 6:11-17

11จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อจะสามารถต่อสู้กับอุบายของมารได้

12เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับพวกภูตผีที่ครอบครอง พวกภูตผีที่มีอำนาจ พวกภูตผีที่ครองพิภพในยุคมืดนี้ ต่อสู้กับพวกวิญญาณชั่วในสวรรคสถาน

13เพราะเหตุนี้จงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะสามารถต่อสู้ในวันชั่วร้ายนั้น และเมื่อทำทุกอย่างแล้วจะยังยืนหยัดอยู่ได้

14เพราะฉะนั้นจงยืนหยัดไว้ อาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นเกราะป้องกันอก

15และเอาความพรั่งพร้อมในการประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขมาสวมเป็นรองเท้า

16และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นี้พวกท่านจะสามารถดับลูกศรเพลิงทั้งหมดของมารร้าย

17จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า

 

คุณสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้าเต็มยศแล้วหรือยัง? การสวมเสื้อผ้าเต็มยศไม่ได้หมายความว่าการต่อสู้นั้นจะไม่ใช่การต่อสู้ที่หนักหน่วง แต่มันหมายความว่าด้วยพระเจ้าและอาวุธของพระองค์ คุณจะหลุดพ้นออกมาได้และรับชัยชนะในที่สุด

 

เมื่อสิ้นสุดการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณทั้งหมด พระเจ้าได้รับการพิสูจน์แล้วว่าพระองค์มีอำนาจเหนือสิ่งทั้งมวล

 

ดังนั้น คุณและฉันต้องทำให้แน่ใจว่าเราสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้าเพราะโดยทางพระองค์เท่านั้นที่เราสามารถประกาศชัยชนะได้ในที่สุด

 

วันนี้คุณสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้าครบชุดหรือไม่? ถ้ายังไม่...นี่ก็ถึงเวลาที่คุณต้องแต่งตัวให้ครบแล้ว! ศัตรูแต่งตัวและเตรียมพร้อมแล้ว ดังนั้นคุณและฉันเองก็ต้องพร้อมสำหรับพระเจ้าเพื่อประกาศว่าพระองค์ทรงอยู่กับเราด้วย

 

อย่าออกจากบ้านโดยไม่ได้สวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้าจงเตรียมพร้อมเพื่อทำสงครามกับมาร

 

พี่น้องที่รัก จงจำไว้ว่า สงครามมีอยู่จริง!!!!

 

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

Debra


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

Tellthelordthankyou

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ อ่านมัทธิว 8:1 ถึง 11:1 ​    25 และพวกสาวกมาปลุกพระองค์ ทูลว่า “องค์พร...