“มีชัยชนะในสงครามแห่งชีวิตด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้า”
ตลอดชีวิตของเรามีการทำสงครามอยู่อย่างต่อเนื่องไปชั่วชีวิต ด้านหนึ่งคืออิทธิพลของธรรมชาติเก่าที่เป็นบาป
ซึ่งได้แก่ความโน้มเอียงเก่า การล่อลวง
และความบาปเรื้อรังซึ่งยากที่จะเอาชนะได้สำหรับเรา เมื่อเวลาผ่านไปเมื่อเราเติบโตขึ้นในการดำเนินชีวิตกับพระเจ้า
อิทธิพลของธรรมชาติบาปนี้ก็อ่อนกำลังลง
อีกด้านหนึ่งคืออิทธิพลของการสถิตอยู่ด้วยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตของเราที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง พระธรรมกาลาเทียบรรยายถึงอิทธิพลที่ต่อสู้กันทั้งสองด้านนี้
“แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณแล้วท่านจะไม่สนองความต้องการของเนื้อหนังเพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังขัดแย้งพระวิญญาณและพระวิญญาณก็ขัดแย้งเนื้อหนังเพราะทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน
ดังนั้นท่านทั้งหลายจึงไม่สามารถทำสิ่งที่ท่านปรารถนาจะทำ” (กาลาเทีย
5:16-17)
พระคำของพระเจ้าหนุนใจให้เรา “ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ”
พูดอีกอย่างก็คือ
เราต้องยอมให้อิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์มีชัยเหนืออิทธิพลของธรรมชาติบาปในชีวิตของเรา
หลายครั้ง เรื่องนี้พูดง่ายแต่ทำยาก ธรรมชาติบาปของเราจะกระตุ้นให้เราตัดสินใจเพื่อตอบสนองความทะเยอทะยานและความอยากที่เห็นแก่ตัว เราเรียกสิ่งนี้ว่าการล่อลวงและยากอบพูดถึงการการทดลองไว้ดังนี้
“อย่าให้คนที่ถูกล่อลวงกล่าวว่า
“พระเจ้าทรงล่อลวงข้าพเจ้า” เพราะว่าพระเจ้าจะไม่ถูกความชั่วล่อลวง
และพระองค์เองก็ไม่ทรงล่อลวงใครเลย
แต่ทุกคนถูกล่อลวงด้วยตัณหาของตัวเอง
คือถูกตัณหานั้นล่อลวงและชักนำ” (ยากอบ 1:13-14)
การล่อลวงจะกลายเป็นความบาปก็ต่อเมื่อเราตัดสินใจที่จะยอมให้กับการล่อลวงนั้นเท่านั้น
“เมื่อตัณหาฟักตัวขึ้นแล้วก็ก่อให้เกิดบาป
และเมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้วก็ก่อให้เกิดความตาย” (ยากอบ 1:15)
แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คือ
พระเจ้าทรงยกโทษให้เราและทรงชำระเราให้พ้นจากบาปทั้งสิ้นของเราซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความรักและพระคุณอันล้ำเลิศของพระองค์ที่มีต่อคริสเตียนทุกคน เราได้รับการยกโทษบาปอย่างสมบูรณ์
“ถ้าเราสารภาพบาปของเรา
พระองค์ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา
และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” (1 ยอห์น 1:9)
แต่ยังมีอันตรายของการเพิกเฉยต่อความผิดบาปอยู่ แม้พระเจ้าจะทรงยกโทษและทรงชำระเรา
แต่พระองค์ก็ไม่ทรงกำจัดเส้นทางที่เป็นอันตรายของผลลัพธ์และสถานการณ์ต่างๆ ที่ความบาปทิ้งไว้เบื้องหลัง แม้พระเจ้าทรงช่วยเราให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความลำบากอยู่เสมอ แม้ในยามที่ความลำบากดังกล่าวเกิดขึ้นจากการตัดสินใจของเราเองก็ตาม
แนวทางการปฏิบัติที่ดีที่สุดของเราคือการทำทุกสิ่งที่เราทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงการตัดสินใจแบบนั้นตั้งแต่แรก
“ไม่มีการทดลองใดๆ
เกิดขึ้นกับท่านทั้งหลาย นอกเหนือการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์
พระเจ้าทรงซื่อสัตย์
พระองค์จะไม่ทรงให้พวกท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้
และเมื่อถูกทดลอง พระองค์จะทรงให้มีทางออกด้วย
เพื่อพวกท่านจะมีกำลังทนได้” (1
โครินธ์ 10:13)
ประการแรก เราไม่ได้ต่อสู้อยู่เพียงลำพัง
คุณสามารถรู้ว่ามีคริสเตียนคนอื่นๆ
(ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเดินกับพระเจ้ามาแล้ว 30 วันหรือ 30 ปีก็ตาม) ที่พวกเขาก็ยังคงต่อสู้กับความบาปและการทดลองแบบเดียวกันกับคุณ
ประการที่สอง
พระเจ้าจะไม่ทรงอนุญาตให้เราถูกทดลองเกินความสามารถที่เราจะตัดสินใจหลีกเลี่ยงความบาปนั้นได้ พระองค์จะทรงจัดเตรียมทางออกไว้เสมอ แม้จะเป็นสิ่งที่ยากลำบาก แต่หน้าที่ของเราคือการค้นหาทางออกนั้นให้พบในท่ามกลางการทดลอง
ตอนต่อไปเราจะบอกถึงยุทธวิธีจากพระคัมภีร์สำหรับการจัดการกับความบาปและการทดลองอย่างมีประสิทธิภาพ การนำแผนการนี้ไปปฏิบัติถือเป็นอีกแนวทางหนึ่งของการยอมให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่งในชีวิตของคุณ
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ลูกร้องทูลพระองค์ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากเหล่านี้
และขอให้พระองค์เพิ่มพูนศรัทธาและความหวังแก่ลูก เพื่อในที่สุดลูกจะได้มรดกนิรันดร์ของลูกในพระองค์
โดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ขอพระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยสำหรับลูก และในการสู้รบขอพระองค์ทรงเป็นที่ปลอบใจของลูก
เพื่อว่าในที่สุด เมื่อพระองค์จะเสด็จมาพิพากษาโลก ทุกคนที่ติดตามพระองค์ด้วยความเศร้าโศก
จะได้เป็นผู้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ด้วยความยินดี; อาเมน
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ
หนังสือเรื่อง
“คู่มือชั้นเยี่ยมของคริสเตียนเพื่อการเจริญเติบและมีวัตถุประสงค์”
โดยเดวิด เจ. สวันต์
ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น