วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2563

เลือกคบเพื่อนอย่างชาญฉลาด

 


เลือกคบเพื่อนอย่างชาญฉลาด

คนโง่ทำความผิดเหมือนการเล่นสนุก

แต่คนที่มีความเข้าใจก็เพลิดเพลินกับปัญญา

สุภาษิต 10:23

คนบางคนก็ชอบก่อปัญหาอยู่เรื่อย ตัวอย่างเช่นลูซิเฟอร์เมื่อก่อนเขาเป็นเทวดาที่สง่างามที่สุดก่อนที่เขาจะตกจากสวรรค์และกลายเป็นปีศาจซาตาน ตอนนี้เขากำลังมองหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์นั่นก็คือผู้ที่ชอบก่อปัญหารายอื่นที่บนโลกใบนี้ เพื่อมาร่วมกันก่อปัญหาให้มากที่สุด แต่ถ้าคุณรักพระเจ้าคุณก็ต้องอยากอยู่ห่างๆจากปีศาจและเพื่อนของเขา ในการที่จะทำเช่นนี้ได้คุณต้องตัดสินใจที่จะไม่เอาตัวเองเข้าไปพัวพันหรือสุงสิงสนิทสนมใกล้ชิดกับกลุ่มของเพื่อนที่ชอบสร้างปัญหา หากเพื่อนๆของคุณในตอนนี้วางแผนที่จะก่อปัญหาอยู่เสมอ นี่ก็คงถึงเวลาที่คุณก็ต้องเลือกและมองหาเพื่อนใหม่แล้วล่ะ!

หากคุณอยู่กับเพื่อนผู้ชอบก่อปัญหานานเกินไปคุณจะเริ่มคิดเหมือนพวกเขาและกลายเป็นเหมือนพวกเขาในสักวัน   ปีศาจได้นำทูตสวรรค์หนึ่งในสามไปทำสงครามกับพระเจ้า ดังนั้นขอให้คุณจำไว้ว่าพระเจ้าอยู่ตรงกันข้ามกับปีศาจ ไม่มีการอะลุ่มอล่วยให้กับการทำชั่ว และที่สำคัญอย่าปล่อยให้เพื่อนที่ไม่ดีมามีอิทธิพลต่อคุณ เพราะการเป็นเพื่อนของพระเจ้าหมายถึงการเลือกคบเพื่อนอย่างชาญฉลาด

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเยซูที่รัก ขอพระองค์โปรดช่วยลูกรู้จักระมัดระวังและฉลาดในการเลือกคบเพื่อนด้วยเทอญ อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ One minute devotions


วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2563

ลิ้นที่สุภาพเป็นต้นไม้แห่งชีวิต แต่ลิ้นตลบตะแลงทำน้ำใจให้แตกสลาย

 




 ลิ้นที่สุภาพเป็นต้นไม้แห่งชีวิต แต่ลิ้นตลบตะแลงทำน้ำใจให้แตกสลาย

คนที่ดำเนินในความซื่อสัตย์ก็ดำเนินอย่างมั่นคง

แต่ผู้ที่ทำทางของตนให้คดก็จะถูกเปิดโปง

สุภาษิต 10:19

การพูดไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่การพูดมากเกินไปอาจนำพาไปสู่สิ่งที่ไม่ดีได้ เมื่อคุณอยู่ที่โรงเรียนหรือที่ทำงาน หากคุณต้องเจอเพื่อนของคุณกำลังพูดถึงคนอื่นอยู่ คุณจะทำอย่างไร? ก่อนที่คุณจะตัดสินใจทำอะไรลงไปอยากให้คุณจำไว้ว่าการพูดสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับใครบางคนนั้นอาจเป็นเรื่องง่ายเพราะคุณอาจแค่ต้องการรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนั่นๆหรือแค่ร่วมวงหัวเราะไปกับคนอื่นก็ตาม แต่พระเจ้าต้องการเตือนให้คุณระมัดระวังในสิ่งที่คุณจะพูดเพราะคำพูดของคุณนั้นมีพลังมาก เพราะหากคุณเคยถูกใครตะโกนใส่หน้าหรือถูกนินทาลับหลัง หรือถูกคนพูดจาเสียดสีเหน็บแนมด้วยคำพูดเชิงลบ คุณจะรู้และเข้าใจว่าคำพูดนั้นมีพลังและสามารถทำให้มนุษย์ด้วยกันเจ็บปวดได้แค่ไหน

เมื่อคุณต้องการจะพูด ให้จำคำสอนที่ชาญฉลาดนี้ไว้  "ถ้าคุณคิดหาคำพูดอะไรดีๆไม่ได้หรือพูดคำดีดีไม่เป็นในขณะนั้นก็อย่าพูดอะไรออกไปเลย"  เพราะสัญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของปัญญาของพระเจ้าคือการรู้ว่าเมื่อใดควรพูดและเมื่อใดไม่ควรพูด

กษัตริย์ซาโลมอน ผู้เขียนพระธรรมสุภาษิตเกือบทั้งหมดได้เขียนเกี่ยวกับอำนาจของคำพูดบ่อยครั้ง ท่านกล่าวว่า “ความตายความเป็นอยู่ที่อำนาจของลิ้น”(สุภาษิต 18:21) คำพูดทำให้เกิดผลดีหรือผลร้ายก็ได้ (สุภาษิต 18:20) มีอำนาจเสริมสร้างชีวิตผ่านการหนุนใจและความซื่อตรง หรือฆ่าและทำลายด้วยคำโกหกและนินทา เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเราจะมีคำพูดที่ก่อให้เกิดผลดี มีทางเดียวคือ เราต้องหมั่นรักษาจิตใจ “จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้านเพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ” (สุภาษิต 4:23)

น้ำทำให้ต้นไม้ซึ่งเหี่ยวเฉากลับสดชื่นขึ้นฉันใด คำพูดสุภาพที่ฟังแล้วสบายใจสามารถทำให้คนฟังรู้สึกชื่นใจฉันนั้น. ในทางตรงกันข้าม คำพูดที่ไม่ดี ตลบตะแลงทำให้คนฟังเจ็บช้ำน้ำใจได้. ที่จริง คำพูดของเรามีพลังในการทำให้เจ็บปวดหรือไม่ก็เยียวยารักษา.—สุภาษิต 18:21

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า พระศิลาและพระผู้ไถ่ของข้าพระองค์ ขอให้ถ้อยคำจากปากของข้าพระองค์ และการรำพึงภาวนาในจิตใจ เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์เถิด (สดุดี 19:14) อาเมน

คำพูดบ่งบอกได้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจของคนพูด ก่อนจะพูด ใช้เวลาคิดสักนิด ขอให้เราพิจารณาเหตุผลที่เราต้องระวังคำพูดของเรา, และมีคำพูดอะไรบ้างที่เราควรหลีกเลี่ยง?, และเราสามารถพูด “คำดี ๆ ที่ทำให้เจริญขึ้น” ได้ด้วยการยึดหลักพระวจนะคำสอนของพระเจ้าที่ว่า “อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านทั้งหลาย แต่ให้เป็นคำดี ๆ ที่ทำให้เจริญขึ้น.”—เอเฟซัส4:29 

ให้เราอธิษฐานขอพระเยซูเจ้า ช่วยเปลี่ยนแปลงจิตใจของเรา เพื่อให้เรามีคำพูดที่ดีที่สุด คือ คำพูดที่ซื่อสัตย์ สงบ ถูกต้องและเหมาะสมกับสถานการณ์

 ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ One minute devotions

 jw.org/th

 thaiodb.org


วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2563

คนที่พูดโง่ๆ จะถึงความพินาศ(คนปากพล่อย)

 


คนปากพล่อย

คนมีปัญญาจะยอมรับบัญญัติ

แต่คนที่พูดโง่ๆ จะถึงความพินาศ

สุภาษิต 10: 8

เมื่อผู้คนถูกจับได้ว่าเขาได้ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ โดยทั่วไปพวกเขาจะเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งจากสองสิ่งนี้นั่นก็คือ หนึ่ง-พวกเขาอาจกล้ายอมรับในสิ่งที่พวกเขาทำผิดและเรียนรู้จากสิ่งที่พ่อแม่-ครูหรือคนรอบข้างของพวกเขาแนะนำตักเตือน  สอง-พวกเขาอาจจะหาข้อแก้ตัวเป็นล้านข้อเพื่อพยายามหาเหตุผลมาหักล้างในสิ่งที่พวกเขาทำผิด

คนฉลาดต้องรู้จักยอมรับความผิดพลาดของตนเองและเรียนรู้จากมันแล้วเดินหน้าต่อไป เพราะครั้งต่อไปหากเขาถูกล่อลวงให้ทำสิ่งเดียวกันอีก เขาจะสามารถหลีกเลี่ยงได้โดยการเชื่อฟังคำแนะนำตักเตือนของผู้ที่มีปัญญามากกว่าหรือผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่าอย่างเช่นพ่อแม่-ผู้ปกครองหรือคนรอบตัวที่เคยมีประสบการณ์กับเรื่องเหล่านั้นมาก่อน   แต่ถ้าเขาเลือกเป็นคนปากพล่อย ดื้อรั้น มักจะคิดว่าตนคือความถูกต้องของทุกสิ่ง คนแบบนี้มักพยายามหาข้อแก้ตัวเพื่อมาหักล้างในการกระทำที่ไม่ถูกต้องนั้นๆ เขาก็จะกลายเป็นคนที่ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า พระเจ้าไม่มีรางวัลตอบแทนให้กับคนโง่ที่ชอบพูดจาพล่อยๆ พระเจ้าจะให้รางวัลแก่ผู้ที่มีใจเปิดกว้างและผู้ที่เต็มใจที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาดของตน แทนที่เราจะเสียเวลามานั่งแก้ตัว ให้เราเลือกที่จะรับฟังผู้อื่นบ้างก็ไม่ใช่เรื่องน่าอาย หากรู้ว่าเรามีข้อบกพร่องจริง หรือทำผิดพลาดจริงก็จงถ่อมใจยอมรับคำแนะนำจากคนที่มีปัญญาและความรู้มากกว่าเราเพื่อนำเอามันมาเป็นแนวทางป้องกันและแก้ไขเพื่อไม่ให้ตนเองทำผิดซ้ำเรื่องเดิมอีก “คนดีชอบแก้ไข คนอะไร?ชอบแก้ตัว” (คิดว่าเราทุกคนรู้คำตอบข้อนี้ดี)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาที่รัก ขอพระองค์โปรดช่วยลูกให้รู้จักฟังคำของคนที่มีปัญญามากกว่า ถึงแม้ว่าบางครั้งลูกจะคิดว่าตัวลูกรู้ทุกอย่างแล้วก็ตาม อาเมน.

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ One minute devotions

 


วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2563

บุตรชายที่เก็บสะสมไว้ในฤดูแล้งก็เป็นคนฉลาด

 


คนงานที่ชาญฉลาด

บุตรชายที่เก็บสะสมไว้ในฤดูแล้งก็เป็นคนฉลาด

แต่บุตรชายผู้หลับในฤดูเกี่ยวก็นำความอับอายมา

สุภาษิต 10: 5

 ในการเล่นกีฬาหากคุณเป็นส่วนหนึ่งของทีมคุณจะต้องฝึกฝนหนัก เพราะหากมีผู้เล่นคนหนึ่งฝึกหนักมากและทำทุกอย่างตามที่โค้ชขอและยังมีผู้เล่นอีกคนที่คอยขี้เกียจ คุณก็พอจะเดาได้ว่าโค้ชเขาต้องคาดหวังกับผู้เล่นที่ใส่ใจฝึกหนักใช่ไหม? เนื่องจากตัวผู้เล่นสะท้อนถึงตัวโค้ช ดังนั้นโค้ชจึงต้องการคนที่ใส่ใจและทุ่มเทฝึกหนักคนที่เต็มที่กับการแข่งขัน นี่เป็นเรื่องจริงในชีวิตของคนเราและกับพระเจ้าก็เช่นกัน พระองค์ต้องการให้ลูก ๆ ทำงานหนัก เพราะเราเป็นภาพสะท้อนของพระองค์

   คนที่ทำงานหนักหรือเตรียมตัวมาดีก็จะมีความพร้อมเมื่อต้องเจอกับเกมใหญ่ๆที่จะมาถึง ส่วนผู้ที่เกียจคร้านก็จะไปไหนไม่ได้ไกล อาจถึงขั้นย่ำอยู่กับที่ พระเจ้าต้องการให้คุณเป็นคนงานที่ชาญฉลาดทำงานหนักและมีความพร้อมอยู่เสมอเพราะสิ่งที่คุณเป็นได้สะท้อนให้คนอื่นๆเห็นถึงพระองค์  พระเจ้าต้องการให้คุณเตรียมพร้อมอยู่เสมอและรอเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาที่รัก ขอพระองค์โปรดเสริมพลังเพื่อที่ลูกจะได้สามารถทุ่มเทและทำงานอย่างหนักและมีความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและผู้อื่นอยู่เสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทั้งในวันนี้และอนาคต ลูกอยากจะเป็นคนที่เตรียมตัวพร้อมอยู่เสมอเพื่อพระองค์ อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ One minute devotions


วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2563

บุตรชายที่โง่เป็นความโศกของมารดาเขา

 


จงเป็นลูกที่ทำให้แม่ยิ้มและมีความสุข

บรรดาสุภาษิตของซาโลมอน

บุตรชายที่มีปัญญาทำให้บิดายินดี

แต่บุตรชายที่โง่เป็นความโศกของมารดาเขา

สุภาษิต 10: 1

คุณจำเรื่องราวการตรึงกางเขนของพระเยซูได้ไหม? พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขนโดยมีโจรสองคนถูกตรึงอยู่ขนาบทั้งสองด้านของพระองค์   โจรคนหนึ่งเชื่อว่าพระเยซูคือพระเมสสิยาห์ แต่อีกคนหนึ่งไม่เชื่อ โจรที่เชื่อในองค์พระเยซูได้ไปสวรรค์ แต่อีกคนเขาได้ไปในที่ที่ตรงกันข้าม หลังจากนี้มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับโจรที่ปฏิเสธพระเยซูเพราะเขาไม่รู้หรอกว่าที่ที่เขาจะต้องไปนั้นน่ากลัวเพียงใด แล้วพ่อแม่ของเขาล่ะ? จะรู้สึกอย่างไร?  ในชีวิตที่ผ่านมาเขาตัดสินใจผิดและเลือกทำในสิ่งที่ไม่ดีหลายอย่างและนั่นก็ทำให้แม่ของเขาต้องเป็นทุกข์ใจและร้องไห้

เมื่อใดก็ตามคุณรับเอาสติปัญญาที่มาจากพระวจนะของพระเจ้า คุณกำลังทำให้พ่อแม่ของคุณภูมิใจ หากคุณเพิกเฉยต่อพระวจนะของพระเจ้ามันไม่เพียง แต่ทำร้ายตัวคุณเอง แต่มันยังทำร้ายทุกคนที่รักคุณด้วย อย่าทำตัวเป็นเหมือนโจรบนไม้กางเขนที่ไม่ไว้วางใจในพระเยซู นับจากนี้ขอให้คุณเรียนรู้และทำความรู้จักกับพระเยซูให้มากขึ้น และใช้ชีวิตเหมือนพระเยซูมากขึ้น เพราะพระองค์ทรงทำให้พระนางมารีย์พระมารดาของพระองค์ภูมิใจเสมอมา

 คำว่า "เมสสิยาห์" เป็นภาษาฮีบรู แปลว่า "ผู้รับเจิม" (เช่นกษัตริย์ ประกาศก หรือสมณะ ตรงกับคำกรีกว่า "christos" = พระคริสต์ หรือ พระคริสตเจ้า) ซึ่งได้รับมอบหมายให้ประกอบภารกิจพิเศษในการกอบกู้และปกครองดูแลประชากรตามพระประสงค์ของพระเจ้า

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเยซูที่รัก ขอพระองค์โปรดช่วยให้ลูกเป็นลูกที่สามารถทำให้พ่อแม่มีความสุขด้วยการรับเอาสติปัญญาจากพระวจนะของพระเจ้า ลูกอยากเป็นคนที่ฉลาดเลือกตลอดการดำเนินชีวิตในโลกนี้ อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ One minute devotions


วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2563

พูดความจริง

 



พูดความจริง

อย่าโต้แย้งกับใครอย่างไร้เหตุผล

ในเมื่อเขาไม่ได้ทำอันตรายอะไรเจ้า

สุภาษิต 3:30

 เมื่อพระเยซูถูกจับ พวกฟาริสีบางคนถึงกับต้องจ่ายเงินให้คนมาช่วยกันโกหกเกี่ยวกับพระเยซู พวกเขาต้องจ่ายเงินให้คนช่วยโกหก เพราะพวกฟาริสีไม่สามารถหาใครที่สามารถพูดสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับพระเยซูได้โดยไม่ต้องปรุงแต่ง เพราะพระเยซูเป็นคนที่สมบูรณ์แบบดังนั้นพระองค์จึงไม่มีเรื่องเลวร้ายอะไรที่ใครๆจะพูดเกี่ยวกับพระองค์ได้

 คุณพอจะจินตนาการออกไหม?ถ้าวันนึงคุณเกิดเข้าไปติดอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับพระเยซูและมีคนโกหกเที่ยวไปประกาศบอกคนอื่นว่าคุณได้ทำสิ่งที่ไม่ดีทั้ง ๆ ที่คุณไม่ได้ทำ มันคงจะไม่สนุกใช่ไหม? นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าไม่ต้องการให้คุณโกหกคนอื่น พระเจ้าไม่ชอบการโกหก แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณต้องไปทำให้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้ามามีปัญหาไปด้วย

ถ้าคุณเป็นบุคคลแห่งความจริง ความจริงจะเลื่อนคุณขึ้นและปกป้องคุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า “…ความสัตย์สุจริตของพระองค์เป็นโล่และเป็นดั้ง” (สดุดี 91:4) สร้างนิสัยในการพูดความจริงอยู่เสมอ นี่ไม่เพียงแต่หมายความว่าให้หยุดจากการสื่อสารที่ไม่ดีเท่านั้น แต่พูดในสิ่งที่เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าด้วย นั่นคือหลักการสำคัญของความจำเริญและมีวันคืนที่ดี

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาที่รัก ขอพระองค์โปรดช่วยให้ลูกพูดความจริงเกี่ยวกับคนอื่น อย่าให้ลูกเป็นคนพูดโกหก หรือพูดในสิ่งที่ทำให้คนอื่นเสียหาย อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ One minute devotions

 rorthai.com 

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2563

การตีสอน = ความรัก

 



การตีสอน = ความรัก

11ลูกเอ๋ย อย่าดูหมิ่นพระดำรัสสอนของพระยาห์เวห์

และอย่าเบื่อหน่ายพระดำรัสเตือนของพระองค์

12เพราะพระยาห์เวห์ทรงตักเตือนผู้ที่พระองค์ทรงรัก

ดังบิดาตักเตือนบุตรที่เขาโปรดปราน

สุภาษิต 3: 11-12

 หากคุณไปขโมยเงินจากกระเป๋าเงินของแม่ ผู้ปกครองของคุณอาจมีบทลงโทษเพื่อสอนตักเตือนคุณ  พ่อแม่ของคุณจะตีสอนคุณเพราะว่าพวกเขารักคุณและต้องการให้คุณเป็นคนดีที่รักและเชื่อฟังพระเจ้า พวกเขาจึงต้องลงโทษคุณ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรทำในสิ่งที่จะทำให้คุณต้องเดือดร้อนและเสียใจในภายหลัง

 หากคุณเริ่มขโมยของตั้งแต่เด็กพอคุณโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่คุณอาจไม่ได้ถูกแค่ตักเตือนแต่อาจถูกจับเข้าคุกได้เลย ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะเรียนรู้บทเรียนนั้นตั้งแต่ตอนนี้แทนที่จะให้มันเกิดขึ้นในภายหลัง การตีสอนของพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้น เพราะพระองค์รักคุณ พระองค์ต้องการให้คุณมีชีวิตอยู่ในทางที่ถูกต้อง บางครั้งในชีวิตคุณอาจไม่ต้องการทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป และพระเจ้าทรงทราบดีว่าความเจ็บปวดจากการตีสอนในตอนนี้ที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดเล็กน้อยที่คุณได้ทำไป มันจะเป็นผลดีกว่าปล่อยให้คุณหลงไปทำผิดมากกว่าที่เคยจนกลายเป็นความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ในภายหลัง พระองค์ต้องการเห็นคุณเติบโตขึ้นและเรียนรู้จากความผิดพลาดเดิมและไม่กลับไปทำซ้ำอีก

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาที่รัก ลูกขอขอบคุณที่พระองค์ที่ทรงรักลูกมาก ขอบคุณพรองค์ที่ตีสอนลูกเพื่อความดีของลูกเอง อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ One minute devotions


วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2563

ความยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นจุดเริ่มต้นของความรู้



 

 จะฉลาดได้อย่างไร

ความยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นจุดเริ่มต้นของความรู้

คนโง่ย่อมดูหมิ่นปัญญาและการสั่งสอน

สุภาษิต 1: 7

บางครั้งผู้คนไม่เข้าใจจริงๆว่าพระวจนะข้อนี้หมายถึงอะไร คนฉลาดย่อมเกรงกลัวพระเจ้า อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ความกลัวที่คุณมีต่อคนใจร้าย เพราะว่าพระเจ้าไม่ใช่คนใจร้าย   แต่ความกลัวแบบนี้หมายความว่าคุณมีความเคารพยำเกรงและรักพระเจ้าอย่างมาก ยิ่งคุณเคารพและรักพระองค์มากเท่าไหร่คุณก็ยิ่งอยากทำในสิ่งที่พระองค์ต้องการให้คุณทำมากขึ้นเท่านั้น

 แนวทางของพระเจ้าดีกว่าของเราเสมอ พระองค์บอกว่าเมื่อคุณเคารพเชื่อฟังแนวทางของพระองค์คุณจะเริ่มฉลาดขึ้นกว่าเมื่อตอนที่คุณเลือกทำในสิ่งที่คุณต้องการเท่านั้น

 คนไม่ฉลาดจึงไม่ชอบปัญญา เพราะพวกเขาต้องการทำสิ่งต่างๆในแบบของตัวเองเท่านั้น ดังนั้นจงฉลาดกว่าคนอื่นด้วยการเชื่อฟังพระเจ้า

อธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาที่รักขอพระองค์โปรดช่วยให้ลูกเป็นคนฉลาดมีเคารพยำเกรงพระองค์และทำในสิ่งที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ด้วยเทอญ อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ One minute devotions

 


วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2563

จงตามเรามาเถิด

 


ตามเรามา

“จงตามเรามาเถิด เราจะทำให้ท่านเป็นชาวประมงหามนุษย์”

(มัทธิว 4:19)

ให้คุณลองจินตนาการว่าในขณะที่คุณกำลังยุ่งวุ่นวายยู่กับงานของคุณ อยู่ดีๆก็มีเสียงเรียกบอกคุณว่า   “จงตามเรามาเถิดเราจะทำให้ท่านเป็นชาวประมงหามนุษย์”   

 ในฐานะสาวกของพระคริสต์ในวันนี้หากพระองค์ทรงเรียกแล้วบอกคุณว่า "ตามเรามา" คุณจะทำอย่างไร? เสียงเรียกนี้จะเปลี่ยนชีวิตของเราเช่นเดียวกับซีโมนเปโตรและแอนดรูว์น้องชายของเขา   และกิจการต่อมาก็คือการตอบสนองของผู้ที่ได้รับการเรียก เขาทั้งสองต้องละทิ้งสภาพการดำเนินชีวิตและการทำงานประจำวันเพื่อเตรียมตัวติดตามพระองค์    ซีโมนกับแอนดรูว์“ทิ้งแหไว้” ทันที คุณนึกภาพออกไหมว่าถ้าหากเป็นคุณคุณจะทำตามคำสั่งนั้นจริงๆไหม? คุณพร้อมจะละทิ้งทุกอย่างแล้วไปกับพระองค์หรือเปล่า?

แล้วทำไม?ท่านทั้งสองจึงตัดสินใจไม่ยากที่จะติดตามพระเยซูเจ้าไป การตัดสินใจที่จะติดตามใครสักคนหนึ่งนั้นแสดงให้เห็นว่าเขาต้องเคยสัมผัสชีวิตของกันและกันมาก่อนและท่านทั้งสองก็เต็มที่กับพระเจ้า  และใช้ชีวิตกับพระองค์มา มันจึงไม่ยากที่เขาทั้งสองตัดสินใจเช่นนั้น

แล้วคุณล่ะ คุณเต็มที่กับพระเจ้ามากน้อยเพียงใด?และดำเนินชีวิตในแต่ละวันใกล้ชิดกับพระองค์มากน้อยแค่ไหน?มากพอที่จะไว้วางใจ และมอบตัวเองให้กับพระองค์ในทุกกิจการหรือไม่?

 คริสตชนแต่ละคน ถูกเรียก และถูกเลือกมาให้มีหน้าที่ที่แตกต่างกันไปอย่างเหมาะสมเพราะความแตกต่างกันนี้ จะเป็นส่วนเติมเต็มให้แก่กันและกันได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น หากแต่ว่าการถูกเรียกและถูกเลือกนั้นเป็นไปด้วยความไว้วางใจและมีจิตแห่งการรับใช้ด้วยความรักของพระเจ้าเป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตของเราแต่ละคนจึงจะมีคุณค่ามากยิ่งขึ้นด้วย

มันเป็นการยากที่เราจะเลือกอย่างหนึ่งแล้วต้องทิ้งอีกอย่างหนึ่ง มันเป็นการยากที่เราจะเดินหันหลังให้ความสุขสบายและเดินเข้าไปหาความทุกข์ยากแต่การถูกเรียกและถูกเลือกมักมาควบคู่กับความยากลำบากในการตัดสินใจ

ดังนั้นแล้ว สิ่งที่เราควรทำให้ดีที่สุดคือ ใช้ชีวิตให้ใกล้ชิดกับพระองค์ให้มากที่สุดเต็มที่กับพระองค์ให้มากเพื่อว่าเมื่อดวงใจของเรามีความรักเพื่อพระองค์มากพอแล้วการตัดสินใจก็คงไม่ยาก  สิ่งเดียวที่เราควรแสวงหาและทูลขอจากองค์พระผู้เป็นเจ้านั่นคือการได้พำนักอยู่ในพระเคหาของพระองค์ทุกวันตลอดชีวิต

พระเจ้าทรงรู้แผนงาน-เป้าหมายและความฝันของเราดีกว่าใครและพระองค์รู้ดีว่าอะไรสำคัญและจำเป็นที่สุดสำหรับเรา ให้เราเชื่อฟังและวางใจ และติดตามพระองค์ไป เหมือนที่ท่านซีโมนเปโตรและท่านแอนดรูว์ทำ

ขอบคุณบทความหนุนใจจาก

 chandiocese.org


วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2563

พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ

 


พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ

คำขอบพระคุณพระเจ้า เพราะทรงช่วยให้หายป่วย

1ข้าพเจ้ารักพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงฟังเสียงและคำวิงวอนของข้าพเจ้า2พระองค์เงี่ยพระกรรณฟังข้าพเจ้า

เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจะทูลพระองค์ตราบที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่

3บ่วงมรณาล้อมข้าพเจ้า

ความเจ็บปวดแห่งแดนคนตายจับข้าพเจ้าไว้

ข้าพเจ้าพบความทุกข์โศกและความระทม

4แล้วข้าพเจ้าร้องทูลออกพระนามพระยาห์เวห์ว่า

ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงช่วยชีวิตข้าพระองค์เถิด”

5พระยาห์เวห์ทรงมีพระคุณและทรงชอบธรรม

พระเจ้าของเราทั้งหลายทรงพระกรุณา

6พระยาห์เวห์ทรงปกป้องคนรู้น้อยไว้

เมื่อข้าพเจ้าตกต่ำ พระองค์ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอด

สดุดี 116: 1-6

เวลาเจอกับปัญหาส่วนใหญ่เรามักจะพึ่งพากำลังของตนเอง นั่นคือการพยายามคิด พยายามใช้สติปัญญาแบบโลก หากทำไปเรื่อย ๆ มันจะเหนื่อยจนอาจท้อแท้ สิ้นหวัง แต่ในพระคัมภีร์สอนเราว่าเราแต่ละคนสามารถวางใจในพระเจ้าได้และอย่าพึ่งพากำลังตนเอง คำสอนนี้ไม่ได้หมายความว่า ให้เราอยู่เฉย ๆ แล้วพระเจ้าจะทำให้ หรือจับไม้จับมือเราไปทำตามที่พระองค์ต้องการ  พระคัมภีร์ต้องการให้เราทำงานหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด คำว่าอย่าพึ่งกำลังตัวเอง จึงไม่ใช่การนั่งอธิษฐานทั้งวัน โดยไม่รับผิดชอบในส่วนของตนเอง แล้วนั่งรอ คอยดูเฉย ๆ รอดูว่าเมื่อไหร่พระเจ้าจะทำการอัศจรรย์  หากเราไม่ทำหน้าที่ในส่วนของเราแล้วมันจะสำเร็จผลได้อย่างไร พระพรคงไม่ไหลมาเทมาเหมือนดั่งฝนตกแน่นอน

เคยสังเกตไหมว่าบางครั้งเวลาที่เราเลือกที่จะพึ่งพากำลังของตัวเอง โดยคิดว่าฉันทำได้ ฉันมีความสามารถ แต่ไม่ว่าเราจพยายามคิดหาทางแก้เท่าไหร่ก็หาไม่เจอ มันดูมืดมนไปหมด ยิ่งคิดมากก็ยิ่งกังวลมาก ใจก็ยิ่งไม่นิ่ง เมื่อใจไม่นิ่งก็ไม่สงบ อาจจะฟุ้งซ่านและเตลิดไปในความคิด ซาจานศัตรูตัวร้ายก็พยายามจู่โจมเราที่ความคิด ความคิดเป็นดั่งสนามรบแต่ถ้าหากเราให้พระเจ้าเป็นแม่ทัพนั่งบัญชาการ เราก็จะมีชัยชนะ นั่นคือการเชื่อฟังและทำตามพระองค์ มีคำอธิบายง่ายๆเพียงคำเดียวสำหรับทุกสิ่งในชีวิต: นั่นคือพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ

พระพรคงไม่ไหลมาเทมาเหมือนกับฝนตก แต่ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของชีวิต เราจะเรียนรู้ที่จะหันหน้าไปหาพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสัตย์ซื่อ, สัตย์ซื่อที่จะอยู่กับเรา, สัตย์ซื่อที่จะดูแลเรา, สัตย์ซื่อที่จะทำงานในตัวเราเพื่อทำให้เราเป็นชายและหญิงที่พระองค์ได้ทรงเรียกให้เราเป็น

 ไม่ว่าสถานการณ์ในชีวิตของคุณจะเป็นอย่างไรในตอนนี้หรือคุณรู้สึกว่าอ่อนล้าหมดแรงล้มลง เมื่อเจอปัญหา ให้คุณเอื้อมมืออกไปหาพระเจ้า พระองค์ทรงอยู่ที่นั่นและพระองค์จะไม่ปล่อยคุณไป. พระองค์จะโอบอุ้มคุณไว้ ตาข่ายแห่งความรักที่สัตย์ซื่อของพระองค์จะหนุนนำคุณเมื่อคุณล้มลง ฉะนั้น จงสัตย์ซื่อในหน้าที่ของตน แล้วจงวางใจในพระเจ้า การศึกษาพระวจนะของพระเจ้าช่วยให้เราใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้นและในนั้นมีคำตอบให้กับทุกปัญหาในชีวิตของเราแน่นอน

 

ขอบคุณบทความหนุนใจจาก

หนังสือ Devotions to go

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2563

ความทุกข์ยาก

 


ความทุกข์ยาก

ในช่วงวันที่ยากลำบาก

เราเผชิญความยากลำบากรอบด้าน แต่ก็ไม่ถูกบดขยี้ เราสับสนแต่ก็ไม่หมดหวัง

2 โครินธ์ 4: 8

ในขณะที่เรากำลังเดินทางไปตามเส้นทางแห่งชีวิต เราทุกคนต้องอาจเผชิญกับถนนที่ดูเหมือนจะเป็นทางตัน เมื่อเราเจอเราอาจรู้สึกท้อแท้  นั่นเป็นเพราะเราอยู่ในสังคมที่ความคาดหวังสูงและมีต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด

หากคุณพบว่าตัวเองต้องทนอยู่กับสถานการณ์ที่ยากลำบากโปรดจำไว้ว่าพระเจ้ายังคงประทับอยู่ในสวรรค์เช่นเคย พระองค์ยังคงอยู่และไม่เคยเปลี่ยนแปลง หากคุณท้อแท้กับทิศทางของวันหรือชีวิตของคุณให้หันความคิดและคำอธิษฐานของคุณไปหาพระองค์ พระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความเป็นไปได้ไม่ใช่การปฏิเสธ ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้สำหรับพระองค์ พระองค์จะแนะนำคุณผ่านความยากลำบากและนอกเหนือจากนั้น จากนั้นด้วยจิตวิญญาณแห่งการมองโลกในแง่ดีและความหวังที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่คุณสามารถขอบคุณพระองค์ผู้มอบทุกสิ่งที่ดีสำหรับของขวัญที่ลึกซึ้งเกินกว่าคุณจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้และสมบัติที่มีมากมายเกินจะนับได้

คำอธิษฐานของวันนี้

ข้าแต่พระบิดาที่รัก พระองค์ทรงเป็นพละกำลังและเป็นที่พึ่งของลูก สำหรับวันนี้ลูกรู้ว่าลูกอาจพบกับความผิดหวังและความสูญเสีย เมื่อลูกมีปัญหาโปรดให้ลูกหันไปหาพระองค์ ให้ลูกมั่นคงในพระองค์  และขอพระองค์โปรดช่วยฟื้นฟูจิตวิญญาณแห่งการมองโลกในแง่ดีและความหวังที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่ในตัวลูกทั้งวันนี้และตลอดไป อาเมน

ขอขอบคุณ บทความหนุนใจจาก

หนังสือ100 วันแห่งการสรรเสริญพระเจ้า


วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2563

พระองค์เองทรงเป็นสันติภาพของเรา

 


สรรเสริญพระเจ้าสำหรับสันติสุขของพระองค์

13แต่บัดนี้ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล ได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์ 14เพราะว่าพระองค์เองทรงเป็นสันติภาพของเรา โดยร่างกายของพระองค์ ทรงทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นหนึ่งเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่แยกระหว่างสองฝ่ายคือการเป็นศัตรูกัน

เอเฟซัส 2: 13-14

สันติภาพ คือสภาพแห่งการไร้ความขัดแย้ง ไร้การโต้แย้ง ไม่มีความรุนแรง สันติภาพคือ สถานะของความสุขสงบ ซึ่งเป็นผลของความยุติธรรม ถ้ามีผู้หนึ่งผู้ใดรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความยุติธรรม คนคนนั้นไม่มีวันนิ่งสงบได้ และแน่นอนว่า ผู้คนแวดล้อมเขาก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย ถ้าที่ใดไม่มีความยุติธรรมแล้ว ที่นั้นไม่สามารถมีสันติภาพได้

สันติสุขแท้ในพระคริสต์ เป็นสันติสุขที่ไม่ขึ้นกับสถานการณ์ สภาพแวดล้อม ไม่ต้องพึ่งพาความรู้สึก ทรัพย์สิน หรือบุคคลใดในโลกนี้ ทำให้เรารู้สึกดี จึงจะมีสันติสุขได้ แต่เป็นความสุขลึกๆ ในจิตวิญญาณ ที่เราได้รับจากองค์พระเยซูคริสต์ เมื่อเรายอมรับพระองค์เข้ามาในชีวิต เป็นความสุขที่ เรายังสามารถมีความ สงบ นิ่ง จนถึงชื่นชมยินดีได้แม้มีปัญหา หรือต้องเผชิญกับแรงกดดันทุกรูปแบบ และเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนแสวงหา และต้องการที่สุด เมื่อต้องเผชิญกับความกังวล ความขมขื่นความโศกเศร้า หรือความเจ็บปวดทุกชนิด

จิตใจที่มีความสุขสงบ ไม่มีสงครามภายในคือ สันติภาพ ที่เราได้รับจากความยุติธรรมที่พระเจ้าทรงมอบให้เราทุกคนแล้ว ผ่าน “ความรัก” ที่พระองค์ทรงรักเราก่อน รักแบบไม่มีเงื่อนไขเพราะไม่มีความดี หรือความเลวใดๆ ที่จะทำให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น หรือน้อยลงได้เลย

ในหลาย ๆ ครั้ง, การต่อสู้ภายนอกของเราเป็นเพียงการแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งภายในที่เรารู้สึกเมื่อเรากำลังหลงไปจากเส้นทางของพระเจ้า สิ่งที่จำเป็นสำหรับเราตอนนี้ก็คือการทบทวนถึงสันติภาพที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ ในพระคัมภีร์ ยอห์น 14:27 เตือนเราว่าพระเยซูทรงมอบสันติสุขที่ไม่เหมือนกับที่โลกให้ และมีเพียงพระองค์ผู้เดียวที่จะประทานให้ได้ :เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน สันติสุขของเราที่ให้กับท่านนั้น เราไม่ได้ให้อย่างที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย  

ในฐานะผู้เชื่อความท้าทายของเรานั้นชัดเจน: นั่นคือ เราควรรับเอาสันติสุขของพระคริสต์เข้ามาในใจของเราแล้วแบ่งปันสันติสุขของพระองค์ให้กับเพื่อนบ้าน(เพื่อนมนุษย์)ของเราให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

เพื่อเป็นของขวัญให้กับตัวคุณเอง-ครอบครัวและเพื่อน ๆ ของคุณในวันนี้ ให้คุณเชิญพระคริสต์มาเป็นผู้นำในชีวิตของคุณในทุกด้าน นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดำเนินชีวิตและเป็นเส้นทางสู่สันติภาพที่แน่นอนที่สุด ... ทั้งในวันนี้และตลอดไป

คำอธิษฐานของวันนี้

ข้าแต่พระบิดาที่รัก,โปรดให้ลูกรับเอาสันติสุขและความอุดมสมบูรณ์ที่พระองค์มอบให้ผ่านทางพระเยซูพระบุตรสุดที่รักของพระองค์  พระองค์เป็นพระบิดาผู้ให้ทุกสิ่งที่ดีและพระองค์ให้ลูกมีสันติสุขเมื่อลูกเข้าใกล้พระองค์ โปรดช่วยให้ลูกวางใจในพระประสงค์ของพระองค์ปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์และยอมรับสันติสุขของพระองค์ในวันนี้และตลอดไป อาเมน

ขอขอบคุณ บทความหนุนใจจาก

หนังสือ100 วันแห่งการสรรเสริญพระเจ้า

 wattanachurch.org

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2563

การรับใช้ผู้อื่น

 


บรรลุความยิ่งใหญ่ได้โดยการรับใช้ผู้อื่น

ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย

 มาระโก 10:43

คำสอนของพระเยซูนั้นชัดเจน: พระองค์สอนว่า มนุษย์เราจะบรรลุความยิ่งใหญ่ได้โดยการรับใช้ผู้อื่น แต่ในฐานะมนุษย์ที่อ่อนแอบางครั้งเราก็ล้มเหลวในการรับใช้เพราะมีหลายครั้งที่เเราพยายามที่จะโอ้อวดผลงานและความสำเร็จของเรา  พระวาจาวันนี้ต้องการสอนเราว่าเพื่อจะบรรลุถึงชีวิตนิรันดรจะต้องถ่อมตัวเองลง รู้จักรับใช้ผู้อื่น เพราะชีวิตที่มีความสุขคือชีวิตที่อุทิศตนรับใช้ผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน  

วันนี้คุณรู้สึกถึงการล่อใจที่จะโอ้อวดหรือยกย่องตัวเองขึ้นท่ามกลางสายตาของเพื่อนมนุษย์หรือไม่? ถ้าใช่ก็ขอให้คุณต่อต้านการล่อลวงนั้น ให้คุณรับใช้เพื่อนมนุษย์อย่างเงียบ ๆ และไม่ต้องประโคมข่าว วันนี้ให้คุณสังเกตมองดูคนรอบข้างว่ามีใครกำลังต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเรื่องใดทุกข์ใจที่คุณพอจะช่วยเขาได้บ้าง? จากนั้นให้คุณลงมือทำ จงให้ความช่วยเหลือและแบ่งปันพระวาจาและแสดงความกรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  การทำดีไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้โลกรู้ หรือต้องได้รับคำชื่นชมกลับมา เพราะนี่เป็นวิธีของพระเจ้า ถึงคนอื่นไม่รับรู้ ไม่เป็นไรขอเพียงสิ่งที่คุณทำนั้นถูกต้องและเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าเท่านั้นก็พอ

ในฐานะผู้รับใช้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนคุณจะต้องไม่ยกย่องตัวเองหรือโอ้อวดตัวเองต่อผู้อื่น เพราะท้ายที่สุดความรุ่งเรืองทางโลกจะหายวับไป: ชื่อเสียงที่นี่วันนี้มันจะจากไปเร็วยิ่งนัก  วันนี้ให้คุณสำรวจตัวเองว่า เรากำลังรับใช้ด้วยใจยินดีแม้งานที่ทำจะไม่มีใครเห็นหรือไม่? เป้าหมายในการรับใช้ของเราคือเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัยมากกว่าที่จะได้รับคำชื่นชมจากเพื่อนมนุษย์หรือไม่? ถ้าเราเต็มใจยอมเป็นผู้รับใช้ ชีวิตของเราจะสำแดงถึงองค์พระผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง   

วันนี้หากคุณเลือกที่จะยกตัวเองขึ้นที่นี่บนโลกนี้ ในสวรรค์ชีวิตนิรันดร์คุณจะถูกถ่อมตัวให้เล็กลงที่สุด หรือคุณจะเลือกทำในทางกลับกัน นั่นคือการรับใช้ตามน้ำพระทัย การเลือกทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงชื่นชม

คำอธิษฐานของวันนี้

ข้าแต่พระบิดาที่รักในช่วงเวลาที่อ่อนแอลูกพยายามที่จะสร้างตัวเองขึ้นมาโดยยกตัวให้อยู่เหนือผู้อื่น แต่คำสั่งสอนของพระองค์นั้นตรงกันข้าม พระองค์ต้องการให้ลูกกลายเป็นผู้รับใช้ที่ต่ำต้อยสำหรับผู้คนที่ต้องการกำลังใจ ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือและผู้ที่ต้องการความรักของลูก ขอพระองค์ทรงสร้างหัวใจของผู้รับใช้ในตัวลูก และช่วยให้ลูกเป็นผู้ที่เดินตามรอยของพระเยซูพระบุตรสุดที่รักของพระองค์ได้อย่างแน่วแน่มั่นคง พระเยซูที่ได้ทรงสอนและให้แบบอย่างของการจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในสายตาของพระเจ้าคือการรับใช้ผู้อื่นอย่างนอบน้อม-ซื่อสัตย์และทำด้วยความรัก อาเมน

ขอขอบคุณ บทความหนุนใจจาก

หนังสือ100 วันแห่งการสรรเสริญพระเจ้า

ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7

  ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7   จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และ...