วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

การหว่านเพื่อพระวิญญาณ

 



การหว่านเพื่อพระวิญญาณ

คุณกำลังปลูกเมล็ดพันธุ์ที่ให้ผลผลิตดีสำหรับคุณและผู้อื่นอยู่หรือไม่?

 

สติปัญญาสองแบบ

13ถ้าผู้ใดในพวกท่านฉลาดและมีความเข้าใจ ก็ให้เขาแสดงออกมาโดยการดำเนินชีวิตที่ดี โดยการกระทำอันถ่อมสุภาพซึ่งมาจากสติปัญญา 14แต่ถ้าท่านขมขื่นด้วยใจอิจฉาและทะเยอทะยานอย่างเห็นแก่ตัวก็อย่าโอ้อวดหรือปฏิเสธความจริง 15“สติปัญญา” แบบนั้นไม่ได้มาจากสวรรค์แต่เป็นแบบโลก ไม่อยู่ฝ่ายวิญญาณและเป็นของมาร 16เพราะที่ใดมีความอิจฉาและความทะเยอทะยานอย่างเห็นแก่ตัว ที่นั่นก็วุ่นวายและมีการกระทำที่ชั่วร้ายทุกชนิด

17แต่สติปัญญาจากสวรรค์ประการแรกนั้นคือบริสุทธิ์ จากนั้นคือรักสันติ เห็นอกเห็นใจ ยอมเชื่อฟัง เต็มด้วยความเมตตาและผลดี ไม่ลำเอียงและจริงใจ 18ผู้สร้างสันติหว่านในสันติย่อมเก็บเกี่ยวผลแห่งความชอบธรรม

ยากอบ 3:13-18

 

เมื่อวานเราคุยกันว่า ในทางเลือกทั้งหมดของเรา เราจะหว่านเพื่อเนื้อหนังหรือหว่านเพื่อพระวิญญาณ (กาลาเทีย 6:8 ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขาจะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยนั้น ส่วนผู้ที่หว่านเพื่อพระวิญญาณจะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณ)  เมล็ดพันธุ์ที่เราปลูกในวันนี้จะส่งผลต่อตัวตนของเราที่กำลังจะเติบโตและยังบอกถึงระดับของผลกระทบจากการดำเนินชีวิตของเราที่มีต่อพระเจ้า

 

“เนื้อหนัง” เป็นส่วนหนึ่งของเราที่ต้องการมีชีวิตและปฏิบัติตนโดยเป็นอิสระจากพระเจ้า เราทุกคนต้องรับมือกับแรงดึงของทัศนคตินี้ เพราะว่ามันไม่ได้หายไปทันทีเมื่อเราได้รับความรอด แต่อย่างไรก็ตาม พระวิญญาณบริสุทธิ์รับรองว่าเราจะไม่เป็นทาสของเนื้อหนัง เพราะพระองค์จะเริ่มเปลี่ยนแปลงเราเพื่อให้เราดำเนินชีวิตตามความจริง การเลือกของเราจึงมีส่วนช่วยในกระบวนการเปลี่ยนแปลง และเมื่อตัวเลือกเหล่านี้สอดคล้องกับแผนงานของพระวิญญาณ การเลือกเหล่านั้นจะปลูกเมล็ดพันธุ์ที่ดีซึ่งส่งผลให้เกิดการเติบโตใหม่มากยิ่งขึ้น

 

เมื่อคุณหว่านเพื่อพระวิญญาณ คุณกำลังยอมรับความจริงของพระเจ้าเข้าสู่ความคิดและหัวใจของคุณ ผลแห่งพระวิญญาณเติบโตตามธรรมชาติจากเมล็ดพันธุ์แห่งความจริงของพระเจ้าและมีอิทธิพลต่อทุกด้านของชีวิตคุณ เมื่อคุณเลี้ยงจิตวิญญาณของคุณด้วยสิ่งของของพระเจ้า คุณจะแข็งแกร่งขึ้น เหมือนพระคริสต์มากขึ้น ทั้งในความคิดและการกระทำของคุณจะเต็มไปด้วยชีวิตของพระองค์

 

คุณกำลังให้อาหารฝ่ายวิญญาณของคุณหรือคุณกำลังให้อาหารฝ่ายเนื้อหนังที่เลือกการเป็นอิสระจากพระเจ้า? วันนี้ จงเลือกหว่านเมล็ดพืชที่จะสร้างคุณขึ้น ให้สายน้ำแห่งชีวิตไหลออกจากคุณเพื่อไปหล่อเลี้ยงผู้อื่น (ยอห์น 7:37-39)

37ในวันสุดท้ายซึ่งเป็นวันสำคัญที่สุดของเทศกาล พระเยซูทรงยืนขึ้นและตรัสเสียงดังว่า “ถ้าผู้ใดกระหาย ให้เขามาหาเราและดื่มเถิด 38ดังที่พระคัมภีร์เขียนไว้ ผู้ใดก็ตามที่เชื่อในเรา สายธารซึ่งมีน้ำที่ให้ชีวิตจะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น” 39ที่ตรัสดังนี้พระองค์ทรงหมายถึงพระวิญญาณ ซึ่งผู้ที่เชื่อในพระองค์จะได้รับในภายหลัง เวลานั้นยังไม่ได้ประทานพระวิญญาณให้ เนื่องจากพระเยซูยังไม่ได้รับพระเกียรติสิริ

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

intouch.org

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


ความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า

 


การจัดลำดับความสำคัญของเรา

 

ความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าคือคำสอนที่ให้ปัญญา

และความอ่อนน้อมถ่อมตนมาก่อนเกียรติยศ

สุภาษิต 15:33

 

คำสอนที่ให้ปัญญาคือความยำเกรงพระเจ้า” ในทุกๆวัน คุณใช้ความคิดส่วนใหญ่ของคุณหมดไปกับใครหรือกับสิ่งใดมากที่สุด? คุณเกรงกลัวใครหรืออะไรที่สุด? คุณจะบอกว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ?

 

เราควรตรวจสอบกับตัวเองเป็นประจำและถามคำถามเหล่านี้ เพราะถ้าบางสิ่งมีความสำคัญเหนือพระเจ้าในชีวิตของเรา เราจะพบว่าสิ่งต่างๆจะตกอยู่ในความยุ่งเหยิง  สับสนวุ่นวายไปหมด

 

ปัญญากล่าวว่าเมื่อพระเจ้าทรงมีความสำคัญสูงสุดสำหรับเรา ทุกสิ่งต่างๆ จะถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เมื่อพระเจ้าทรงเป็นจุดสนใจของเรา เราจะมีท่าทีของความอ่อนน้อมถ่อมตนและนมัสการพระองค์ แทนการแสวงหาเกียรติให้กับตนเอง แต่ถ้าเราให้ความสำคัญกับชื่อเสียง ความสำเร็จทางการเงิน การเป็นที่ชื่นชอบ หรือการได้มาในสิ่งที่เราต้องการเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของเรา เมื่อนั้นเราจะขาดความอ่อนน้อมถ่อมตนและไม่สามารถเป็นเหมือนพระเยซูได้ เราอาจพูดถึงพระองค์บ่อยก็จริง แต่เราจะไม่ได้ดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์

 

ดังนั้นนี่คือคำถามสำคัญ: สิ่งที่คุณให้ความสำคัญมากที่สุดคืออะไร? หรือ คุณต้องการให้ลำดับความสำคัญสูงสุดของคุณกับใคร?

 

วันนี้คุณจัดลำดับความสำคัญในชีวิตของคุณโดยให้พระเจ้ามาเป็นที่หนึ่งแล้วหรือยัง?


คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงปรีชาญาณและน่าเกรงขาม พระองค์ทรงอดทนต่อข้าพระองค์มาก แม้ว่าข้าพระองค์จะไม่ให้ความสำคัญกับพระองค์เป็นอันดับแรก แต่โดยพระวิญญาณขอพระองค์โปรดประทานสติปัญญาที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นแก่ข้าพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้รับใช้พระองค์อย่างซื่อสัตย์ยิ่งขึ้น อธิษฐานในนามพระเยซู อาเมน

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

todaydevotional.com

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

หลักการหว่านและเก็บเกี่ยว

 


หลักการหว่านและเก็บเกี่ยว

ในวันใหม่แต่ละวันเรามีโอกาสที่จะเลือกเส้นทางแห่งพระพรและพึ่งพากำลังของพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

7อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า ใครหว่านอะไรย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น 8ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขาจะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยนั้น ส่วนผู้ที่หว่านเพื่อพระวิญญาณจะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณ 9อย่าให้เราอ่อนล้าในการทำดี เพราะถ้าเราไม่ย่อท้อ เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันเหมาะสม 10เหตุฉะนั้นเมื่อมีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนที่อยู่ในครอบครัวแห่งความเชื่อ

-กาลาเทีย 6:7-10

 

ซาตานต้องการให้เราเชื่อคำโกหกที่ว่าการกระทำของเราไม่มีผลลัพธ์หรือผลกระทบที่ตามมา แต่ความจริงก็คือคุณไม่สามารถกบฏต่อพระเจ้าได้หากคุณไม่ได้รับผลของการเลือกนั้นในภายหลัง หรือ คุณไม่สามารถเชื่อฟังพระเจ้าได้หากคุณไม่ได้รับพระพรจากพระองค์ในที่สุด สิ่งที่คุณเลือกคือเมล็ดพันธุ์ที่คุณปลูก และเป็นตัวกำหนดชนิดของพืชผลที่คุณจะเก็บเกี่ยวในอนาคต

 

หัวใจของหลักการนี้คือการเลือกทั้งหมดของเรามีความสำคัญ วิธีคิดและการ กระทำของเรามีความสำคัญ เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง เราทุกคนได้เลือกในสิ่งที่เราเคยเสียใจ เนื่องจากผลที่ตามมาไม่เคยจางหายไป คุณอาจพบว่าตัวเองถูกรังควานหรือแม้แต่ถูกควบคุมโดยสิ่งที่คุณเห็น พูด หรือมีส่วนร่วม แต่พระเจ้าจะทรงให้อภัยทุกสิ่งที่คุณสำนึกผิดอย่างแท้จริง และพระองค์จะทำงานร่วมกับคุณเพื่อไถ่บาปจากการเลือกในอดีตเหล่านั้น เส้นทางสู่การไถ่บาปมักมีอุปสรรค แต่พระวิญญาณของพระองค์สามารถทำให้คุณเอาชนะได้ หากผลพวงจากอดีตกำลังถ่วงคุณอยู่ในเวลานี้ ขอให้คุณวางภาระเหล่านั้นลงต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า และขอให้พระองค์ทรงชำระและหล่อหลอมคุณให้เป็นคนที่คุณถูกพระองค์ทรงสร้างขึ้นมาให้เป็น

 

ลองถามตัวเองด้วยคำถามสามข้อต่อไปนี้: ฉันอยากมีชีวิตแบบไหน? ฉันต้องการให้อุปนิสัยของฉันเป็นอย่างไร? ฉันอยากจะเป็นใครในอีกหลายปีข้างหน้านับจากนี้? วันนี้ให้เราทูลขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับคุณเกี่ยวกับการเลือกของคุณ—ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต—และแผนการทั้งหมดของพระองค์ที่มีไว้สำหรับคุณ

 

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ขอทรงโปรดประทานความใจกว้างแก่ข้าพระองค์เพื่อที่จะได้หว่านออกไปอย่างมากมายในอาณาจักรของพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะได้เก็บเกี่ยวอย่างมากมายในเวลาอันเหมาะสม อธิษฐานในพระนามของพระเยซู อาเมน!

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

intouch.org

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


คำตอบอ่อนหวานช่วยระงับความโกรธ

 


ฝึกกระตุ้นความอ่อนโยน ความสุภาพและความถ่อมใจ  

ออกมาใช้เมื่อรู้สึกโกรธ

 

คำตอบอ่อนหวานช่วยระงับความโกรธ

แต่ถ้อยคำเผ็ดร้อนยั่วโทสะ

สุภาษิต 15:1

 

ลองนึกถึงเวลาที่มีคนทำให้คุณโกรธ บางทีพวกเขาอาจตัดคุณออกจากวงจรชีวิต บางทีพวกเขาอาจแสดงความคิดเห็นที่หยาบคายบนโซเชียลมีเดีย หรืออาจมีใครบางคนทำให้คุณรู้สึกโง่ และทำให้คุณอายต่อหน้าคนรอบข้าง ในสถานการณ์ใดๆ เหล่านี้ เป็นเรื่องง่ายที่เราจะตอบโต้กลับด้วยโทสะ

 

แต่ถ้าเราแสดงออกด้วยความโกรธ เราจะทำให้สถานการณ์แย่ลงเท่านั้น ธรรมชาติที่เป็นบาปของเราคือการต้องการตอบโต้คนที่ทำให้เราขุ่นเคืองใจ แต่นั่นไม่ใช่แนวทางสันติที่พระคัมภีร์ได้เรียกร้องให้เราทำ

 

พระธรรมสุภาษิตของเราในวันนี้ชี้ให้เห็นแนวทางของพระเยซูเจ้า ผู้ซึ่งตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “จงเรียนรู้จากเรา เพราะเราสุภาพและถ่อมใจ  แล้วจิตวิญญาณของท่านจะพักสงบ” (มัทธิว 11:29) นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่พระเยซูระบุคุณลักษณะของพระองค์เอง ว่าพระองค์มีจิตใจที่อ่อนโยนและอ่อนน้อมถ่อมตน

 

ดังที่พระเยซูแสดงให้เห็นเมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในบริเวณพระวิหาร ทรงขับไล่บรรดาผู้ที่ซื้อขายของกันที่นั่น ทรงคว่ำโต๊ะของผู้รับแลกเงินและม้านั่งของบรรดาคนขายนกพิราบ : มันมีเหตุสำหรับความโกรธโดยเฉพาะในสถานการณ์ที่พระเจ้าถูกเย้ยหยัน หรือความอยุติธรรมได้รับการอนุมัติ (ดูมาระโก 11:15-17) แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นมีน้อยมาก และอย่างที่เปาโลเตือนเราไว้ในเอเฟซัส 4:26 ว่า “อย่าทำบาปด้วยความโกรธ” (ดูสดุดี 4:4 ด้วย) นั่นเป็นวิธีที่พระเยซูทรงกระทำ

 

ครั้งต่อไปที่มีคนทำให้คุณโกรธ คุณจะตอบสนองพวกเขาด้วยจิตใจที่อ่อนโยนได้อย่างไร?

 

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานความอ่อนน้อมถ่อมตนและจิตใจที่อ่อนโยน เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้แสดงความรักและสติปัญญาของพระองค์ต่อผู้คนรอบข้าง โปรดขจัดความโกรธออกจากข้าพระองค์เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้เป็นเหมือนพระองค์  อธิษฐานในนามพระเยซู อาเมน


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

todaydevotional.com

 ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

พรสวรรค์ในการรับใช้ผู้อื่น

 


พรสวรรค์ในการรับใช้

การอยู่ในชุมชนจะช่วยให้เราค้นพบของประทานฝ่ายวิญญาณและสามารถใช้มันให้เป็นพรแก่ผู้อื่นได้มากขึ้น

 

เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการข้อคิดฝ่ายวิญญาณในวันนี้ ให้คุณเผื่อเวลาไว้อ่านพระคัมภีร์ที่อ้างถึงด้วยนะคะ

 

คุณเคยสงสัยไหมว่าคุณจะค้นพบของประทานฝ่ายวิญญาณของคุณได้อย่างไร? มันมีคำถามและแบบสอบถามมากมายทางออนไลน์ แต่ทรัพยากรเหล่านี้ไม่ได้มีประโยชน์เท่าที่ควรจะเป็นไปได้ มันจะดีกว่าไหม หากเราจะแทนที่การพึ่งพาการประเมินมันด้วยตนเอง เปลี่ยนไปเป็นการที่เราเข้าไปมีส่วนร่วมกับชุมชนผู้เชื่อของเราเพื่อค้นหาของประทานที่พระเจ้ามอบให้เรา

 

สิ่งสวยงามจะเกิดขึ้นเมื่อเราเชิญพี่น้องในพระคริสต์มาพูดในชีวิตของเรา อันที่จริง วิธีเดียวที่เราจะรู้จักตนเองอย่างแท้จริงก็คือการอยู่ในชุมชน—การได้เห็นและถูกมอง การได้ยินและการถูกรับฟัง การได้รักและการได้รับความรักเป็นการตอบแทน

 

ในอีกไม่กี่วันและสัปดาห์ข้างหน้า ลองสำรวจคำถามเหล่านี้กับพระเจ้า: ความต้องการใดที่ดึงดูดความสนใจของเราพิเศษ? เราต้องการช่วยเหลือผู้อื่นอย่างไรบ้าง? คนอื่นเขาต้องการให้เราช่วยในเรื่องไหนบ่อยที่สุด? และการบริการ(การรับใช้)แบบไหนที่ทำให้เรามีชีวิต?(ความมีชีวิตชีวา. ความร่าเริง, ความสนุกสนาน) และอย่าหยุดเพียงแค่นั้น ฝึกใช้เวลาถามคนที่ฉลาดและคนที่คุณไว้ใจได้ ดูว่าเขาเห็นของขวัญอะไรในตัวคุณบ้าง และแสวงหาการยืนยันจากพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ

 

ไตร่ตรอง

• อ่าน 1 โครินธ์ 12:4-7

4ของประทานมีหลายชนิด แต่พระวิญญาณองค์เดียวกันเป็นผู้ประทาน 5งานรับใช้มีหลายประเภท แต่รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน 6การงานมีต่างๆ กัน แต่พระเจ้าองค์เดียวกันทรงกระทำการทั้งหมดในคนทั้งปวง 7การสำแดงของพระวิญญาณมีแก่แต่ละคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน

และ อ่าน 1 โครินธ์ 14:26

26พี่น้องทั้งหลาย แล้วเราจะว่าอย่างไรดี? เมื่อพวกท่านมาประชุมกัน ทุกคนมีเพลงสดุดี หรือคำสั่งสอน การทรงสำแดง ภาษาแปลกๆ หรือการแปลภาษาแปลกๆ ทั้งหมดนี้ต้องทำเพื่อให้คริสตจักรเข้มแข็งขึ้น

 

คุณมีปัญหากับการเชื่อว่าคุณมีของประทานพิเศษที่จะมอบให้คริสตจักร/ชุมชนและผู้อื่น หรือไม่?  สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อมุมมองของคุณอย่างไรบ้าง?

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

intouch.org

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


สติปัญญา

 


สติปัญญา

 

สติปัญญาพักอยู่ในใจของคนที่มีวิจารณญาณ

และเป็นที่ประจักษ์แจ้งแม้ในหมู่คนโง่

- สุภาษิต 14:33

 

ในพระธรรมสุภาษิตนี้ สติปัญญามีลักษณะว่าเป็นผู้ “สงบ” และมักจะเข้ามาพักอยู่ในใจของผู้มีปัญญา.

 

เราทุกคนไม่ได้ปรารถนาให้ปัญญา ความจริงและพระคุณของพระเจ้าให้เข้ามาสถิตอยู่ในใจเราหรอกหรือ? และเมื่อคุณธรรมเข้ามาสถิตในใจเรามันจะนำมาซึ่งสันติสุขใช่หรือไม่?

 

ความเป็นจริงที่สวยงามของศรัทธาในพระเยซูคริสต์คือสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง สติปัญญาได้เข้ามาอาศัยและครอบครองในใจของเราผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

 

เปาโลถามชาวโครินธ์ว่า“ ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในท่านซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า? ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง” (1 โครินธ์ 6:19, ) พระวิญญาณบริสุทธิ์มีชีวิตอยู่ภายในตัวเราและเป็นวิญญาณที่เปิดเผยความจริงและสติปัญญาทั้งหมดให้เราเพราะภารกิจหลักของเขาคือการช่วยให้เรามีชีวิตเหมือนพระเยซู มันช่างเป็นสิทธิพิเศษสำหรับเราจริงๆ!

 

แต่อย่าทะนงในเรื่องนั้น พระธรรมสุภาษิต 14:33 ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่าสติปัญญาทำให้ตัวเองเป็นที่รู้จัก“ แม้แต่ในหมู่คนโง่เขลา” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ปัญญา ต้องการให้ทุกคนรู้จัก

 

สิ่งที่พระเยซูปรารถนาเช่นกันคือ ให้ทุกหัวใจรู้จักพระองค์ ให้ทุกคนรู้จักพระคุณแห่งความรอดและความเมตตาของพระองค์

 

วันนี้คุณจะอนุญาตให้พระวิญญาณแห่งปัญญาส่องผ่านคุณได้อย่างไร? คุณจะอนุญาตให้คนอื่นเห็นพระเยซูผ่านคุณได้อย่างไร?

 

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า พระองค์เป็นพระเจ้าผู้มีความเห็นอกเห็นใจ โปรดสอนให้ข้าพระองค์มีจิตใจที่ฉลาด มีปัญญา  และมีความปรารถนาที่จะรู้จักพระองค์มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อนำผู้อื่นได้รู้จักพระองค์เช่นกัน ขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เข้ามาพักสงบในตัวข้าพระองค์ อธิษฐานในนามพระเยซู  อาเมน

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

todaydevotional.com

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

ปล่อยวางและเติบโตขึ้น

 


ปล่อยวางและเติบโตขึ้น

ความเป็นผู้ใหญ่และอิสรภาพจะเกิดขึ้นเมื่อผู้เชื่อยอมจำนนต่อพระเจ้าอย่างสมบูรณ์และพึ่งพากำลังของพระองค์

 

คำเตือนไม่ให้หลงไป

11ยังมีอีกมากที่เราจะกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ยากที่จะอธิบายเพราะท่านได้กลายเป็นคนเฉื่อยช้าในการเรียนรู้ 12อันที่จริงแม้ขณะนี้ท่านน่าจะเป็นครูได้แล้ว แต่ท่านยังต้องให้คนมาสอนหลักความจริงเบื้องต้นของพระวจนะของพระเจ้าซ้ำอีก ท่านยังต้องการนม ไม่ใช่อาหารแข็ง! 13ใครที่ยังกินนมก็ยังเป็นทารก ไม่คุ้นกับคำสอนเรื่องความชอบธรรม 14แต่อาหารแข็งนั้นสำหรับผู้ใหญ่ผู้ได้ฝึกฝนตนเองที่จะแยกแยะดีชั่วโดยการปฏิบัติอยู่เสมอ

ฮีบรู 5:11-14

 

ในฐานะคริสเตียน เรารู้ว่าพระบิดาต้องการให้เราทำตามคำสั่งและคำแนะนำของพระองค์ บ่อยครั้งเกินไปที่เราพยายามเชื่อฟัง แต่ “เนื้อหนัง” เก่า ๆ ของเรายังคงโผล่ออกมาให้เห็นเป็นประจำ

 

บางครั้งก็เป็นเพราะความไม่รู้ บางทีเราอาจไม่รู้ว่ารูปแบบการใช้ชีวิตบางอย่างไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นบรรทัดฐานสำหรับผู้เชื่อ อย่างไรก็ตาม เหตุผลหลักที่ผู้เชื่อใช้ชีวิตแบบเนื้อหนังเป็นเพราะเราไม่ได้ตัดสินใจว่าใครจะเป็นผู้ควบคุมชีวิตของเรา อาจมีบางสิ่งที่เราไม่เต็มใจที่จะยอมจำนนต่อพระเจ้า ซึ่งอาจเป็นความปรารถนา นิสัย หรือแหล่งที่มาของความปลอดภัย ความเป็นไปได้อีกอย่างคือเราสัมผัสได้ถึงการทรงเรียกในชีวิตของเรา แต่เรากำลังวิ่งหนีพระองค์ด้วยความกลัวหรือการกบฏ

 

ผลที่ตามมาจากการใช้ชีวิตแบบนี้คือหายนะ หากปราศจากการยอมจำนนต่อพระวิญญาณ คริสเตียนฝ่ายเนื้อหนังจะยังไม่บรรลุนิติภาวะทางวิญญาณและถูกปกครองโดยความปรารถนา สิทธิ และความคาดหวัง เพราะเขาไม่ได้ใช้ความจริงในพระคัมภีร์ที่เรียนรู้มาก่อน (เปรียบเทียบได้กับนม) เขาจึงไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นในพระคัมภีร์ได้ (เปรียบได้กับอาหารแข็ง) ผลที่ตามมาคือการเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณที่หยุดชะงัก

 

หากคุณพบว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มนี้ จงกล้าหาญ แล้วลุกขึ้นมา คุณไม่จำเป็นต้องอยู่ในสภาพนี้อีกต่อไป ถามตนเองว่า คุณกำลังยึดติดกับอะไรอยู่จริงอยู่ การปล่อยวางอาจเป็นเรื่องยากมาก แต่ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพอยู่ในตัวคุณผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์ จงผ่อนคลายการยึดเกาะของคุณ แล้วยอมจำนนต่อพระองค์ และพึ่งพากำลังของพระองค์

 

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาบนสวรรค์ ความปรารถนาของข้าพระองค์คือการทำตามพระประสงค์ของพระองค์และทำอย่างเต็มใจโดยไม่มีคำถามแม้ว่าโดยธรรมชาติและแนวโน้มของข้าพระองค์มักจะมีความสงสัยหรือไม่เข้าใจอยู่บ้าง

 

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการเปลี่ยนเป็นคนที่พระองค์ทรงต้องการให้ข้าพระองค์เป็น และทิ้งสิ่งที่อยู่เบื้องหลังเนื้อหนัง เพื่อจะเดินไปในความแปลกใหม่ของชีวิต และในจิตวิญญาณ และความจริงกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ 

 

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อนุญาตให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เปลี่ยนแปลงในทุกแนวโน้มของชีวิตและแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัวซึ่งมักจะทำให้ข้าพระองค์ทำบาปต่อพระองค์ ข้าพระองค์ต้องการเรียนรู้การเชื่อฟังผ่านการฝึกอบรมลูกๆของพระองค์ในชีวิตของข้าพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้ถูกนำมาใช้ให้เป็นพรแก่ผู้อื่น เพื่อนำกำลังใจไปให้พวกเขาด้วย ความคิดดี คำพูดดี การกระทำดี และแรงจูงใจที่ดี

 

โปรดป้องกันข้าพระองค์จากการกระทำที่ยิ่งยโส ความหลงตนเองและจากความคิดอิจฉาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้การเป็นพยานของข้าพระองค์เสื่อมเสีย ข้าพระองค์สวดอ้อนวอนเพื่อขอพระองค์ช่วยพัฒนาทัศนคติของใจที่่รู้ขอบพระคุณและหมั่นแสวงหาสันติสุขในพระเจ้า ข้าพระองค์จะชื่นชมยินดีและอธิษฐานโดยไม่หยุดสำหรับความดีของพระองค์ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับงานที่พระองค์ทรงทำในตัวข้าพระองค์ 

 

อธิษฐานในนามของพระเยซู  อาเมน


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

intouch.org

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


สันติภาพและความอิจฉา

 


สันติภาพและความอิจฉา

 

ใจสงบเยือกเย็นให้ชีวิตกับร่างกาย

แต่ความอิจฉาริษยากัดกร่อนกระดูก

สุภาษิต 14:30

 

เป็นเรื่องน่าสนใจที่พระธรรมสุภาษิตบอกว่าใจที่สงบเยือกเย็นนั้นตรงกันข้ามความอิจฉาริษยา เรามักคิดว่าสันติภาพ(ใจที่สงบเยือกเย็น)เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสงคราม ความขัดแย้ง ความแตกแยก หรือความขัดแย้ง ทำไมผู้เขียนถึงเปรียบเทียบใจที่สงบเยือกเย็นกับความอิจฉา?

 

ความอิจฉาหมายถึงความไม่พอใจอย่างมากต่อใครบางคนเพราะเขามีบางอย่างที่คุณต้องการ  อาจจะเป็นความมั่งคั่ง รถหรู หน้าตาดี ความนิยม อำนาจ หรือข้อได้เปรียบหรือสิทธิพิเศษอื่นๆ ที่คุณไม่มี ความอิจฉาริษยาผลักดันให้ผู้คนลุ่มหลงในความปรารถนาอันแรงกล้า บางครั้งถึงขั้นทำร้ายต่อผู้ที่มีสิ่งที่เขาต้องการ หรือสามารถทำลายสิ่งที่บุคคลนั้นมี(ในเมื่อฉันไม่ได้ก็อย่าหวังว่าคนอื่นจะได้)

 

บุคคลผู้ถูกความริษยาครอบงำ ย่อมไม่มีความสงบสุขในจิตใจ ความวุ่นวายภายในของพวกเขาสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขาได้ อย่างที่สุภาษิตกล่าวไว้ว่า "ความอิจฉาริษยากัดกร่อนกระดูก"

 

ดังที่ยากอบ 3:16-17 กล่าวไว้ว่า “ที่ใดคุณมีความริษยาและความทะเยอทะยานที่เห็นแก่ตัว ที่นั่นคุณจะพบความยุ่งเหยิงและการปฏิบัติที่ชั่วร้ายทุกอย่าง แต่ปัญญาที่มาจากสวรรค์นั้น . . รักสงบ มีน้ำใจ อ่อนน้อม เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลอันดี . . ”

 

เราสามาถพบชีวิตที่สมบูรณ์ได้ในพระเยซูเพียงผู้เดียว ผู้พระองค์คือผู้ประทาน “ใจที่สงบสุข” แก่เรา—ใจที่พอใจ สงบ และอิ่มเอมกับสิ่งดีใดๆ ที่พระเจ้าประทานให้เราดูแลและเอาใจใส่

 

นี่คือเคล็ดลับบางประการที่ช่วยให้คุณก้าวข้ามความอิจฉาริษยาที่ทำลายล้าง:

 

-ระวังที่จะรับรู้เมื่อคุณกำลังเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น

-ระวังที่จะรับรู้ว่าการเปรียบเทียบของคุณก่อให้เกิดแรงบันดาลใจหรือเกิดความอิจฉาริษยา

-โปรดจำไว้ว่าการเห็นคุณค่าในตนเองเป็นสิ่งที่คุณสามารถฝึกฝนให้กับตัวเองได้ 

-โปรดจำไว้ว่าการเห็นคุณค่าในตนเองของแท้นั้นมีเพื่อเปรียบเทียบตัวเรากับตัวเรา

-อย่าปล่อยให้ตัวเองโศกเศร้าและเสียใจในสิ่งที่คุณไม่มีข้อได้เปรียบเหมือนอย่างที่คนอื่นมี

-จงทำงานอย่างแข็งขันเพื่อขจัดอุปสรรคในการบรรลุเป้าหมายของคุณแทนที่จะเสียเวลาและถูกกลืนไปกับความอิจฉาริษยา

เมื่อเราทำหน้าที่ส่วนของเราอย่างดีที่สุดแล้วส่วนที่เหลือ ให้เราวางใจในพระเจ้า


คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานหัวใจแห่งสันติสุขที่ทำให้ข้าพระองค์ไม่ต้องโหยหาในสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่มี โปรดช่วยให้ข้าพระองค์รับใช้พระองค์ด้วยของขวัญมากมายที่พระองค์ทรงมอบให้กับข้าพระองค์ เพื่อเห็นแก่พระเยซู อธิษฐานในนามพระเยซู อาเมน

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

todaydevotional.com

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

จงดำเนินชีวิตแบบคนมีปัญญา

 



ดำเนินชีวิตแบบคนมีปัญญา

วันนี้เป็นของขวัญที่พระเจ้าทรงมอบให้เราและมันจะจากเราไปในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นอย่าทิ้งมันไป แต่จงใช้มันอย่างรู้คุณค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด

 

15เพราะฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิต อย่าดำเนินชีวิตแบบคนไร้ปัญญา แต่จงดำเนินชีวิตแบบคนมีปัญญา 16จงรู้จักใช้ทุกโอกาสเพราะเวลานี้เป็นยุคอันเลวร้าย 17ฉะนั้นจงอย่าโง่เขลา แต่จงเข้าใจพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นเช่นใด

-เอเฟซัส 5:15-17

 

ในจดหมายถึงชาวเอเฟซัส อัครสาวกเปาโลแบ่งปันวิธีดำเนินชีวิตอย่างฉลาด ในข้อความวันนี้ เขาให้คำแนะนำไว้สามประการ

 

ประการแรก พระองค์ตรัสว่า “จงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตของท่าน” (ข้อ 15) เนื่องจากเราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยบาป เราจึงต้องระแวดระวังเกี่ยวกับวิธีคิดและการกระทำของเรา

 

ประการที่สอง อัครสาวกแนะนำให้เราใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด (ข้อ 16) บ่อยครั้งที่เราถูกล่อลวงให้ใช้เวลาและพลังงานของเราไปกับการแสวงหาผลประโยชน์ของตนเองโดยเปล่าประโยชน์โดยไม่ได้นึกถึงสิ่งที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงมีพระดำริให้เราทำอะไร? ในขณะที่อยู่บนโลกนี้

 

ประการที่สาม อัครสาวกเปาโลบอกให้เรา “เข้าใจว่าพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าคืออะไร” (ข้อ 17) ในความหมายที่กว้างที่สุด พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเราคือให้เราแต่ละคนกลายเป็นบุคคลที่พระองค์ทรงสร้างเราให้เป็นและทำงานที่พระองค์ทรงวางแผนไว้สำหรับเรา (เอเฟซัส 2:10) เมื่อรู้สิ่งนี้ เราควรพิจารณาการตัดสินใจทุกครั้งโดยพิจารณาว่าการเลือกของเราจะส่งเสริมหรือขัดขวางพระประสงค์ของพระบิดาบนสวรรค์ที่มีไว้สำหรับเราหรือไม่

 

พระเจ้าต้องการให้เราดำเนินชีวิตอย่างฉลาดเพื่อที่เราจะได้รับประโยชน์อันน่าอัศจรรย์ทั้งหมดที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ในพระวจนะของพระองค์ โอกาสที่เสียไปและเวลาที่เสียไปนั้นเราไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ วันนี้จงให้คำมั่นสัญญาที่จะทำให้ชีวิตของเรามีค่าสำหรับพระคริสต์ แทนที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อตนเองเท่านั้น

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

intouch.org

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


แม้ขณะหัวเราะ จิตใจอาจปวดร้าว

 


ปกปิดความเศร้า

 

แม้ขณะหัวเราะ จิตใจอาจปวดร้าว

และความชื่นชมยินดีอาจจบลงด้วยความโศกเศร้า

สุภาษิต 14:13

 

 

พระคัมภีร์ที่บ้านของฉัน ฉันมักทำเครื่องหมายเน้นไว้ที่ข้อต่างๆ ที่ฉันอยากจะอ่านอีกในภายหลัง ฉันจะเน้นและขีดเส้นใต้ หรือ ทำสัญลักษณ์ และเขียนข้อความอ้างอิงโยงไปยังข้อความอื่นๆเอาไว้

 

ถัดจากสุภาษิต 14:13 ฉันได้วาดรูปดาวดวงเล็กๆ เพื่อที่ฉันจะได้สังเกตเห็นว่าข้อความนี้เป็นพิเศษ

 

แม้ขณะหัวเราะ จิตใจอาจปวดร้าวคุณเคยมีประสบการณ์ในการยิ้มให้กับผู้อื่น แต่ข้างในใจของเรากลับเต็มไปด้วยอารมณ์ที่อ่อนแอและเศร้าโศกบ้างไหม? ในงานสังคม คุณอาจมีช่วงเวลาที่ดีมากๆจริงๆ แต่ในภายหลัง เมื่อคุณต้องอยู่คนเดียวอีกครั้ง ความเศร้าโศกและน้ำตาอาจไหลย้อนกลับมาก็ได้ ใช่ไหม?

 

พระธรรมสุภาษิตวันนี้นี้เตือนใจฉันว่าเราไม่มีทางรู้หรอกว่าคนๆ หนึ่งเขาต้องเจอกับอะไรมาบ้าง ไม่ว่าพวกเขาจะดูร่าเริงแค่ไหนก็ตาม เพราะมนุษย์นั้นเก่งมากในการบิดปังอารมณ์ของตน วันนี้ให้​เรา​เรียน​รู้​จาก​ตัว​อย่าง​ของ​พระ​เยซู.

 

พระองค์ร้องไห้ขณะเดินไปที่หลุมฝังศพของเพื่อนรัก (ยอห์น 11:35) พระองค์ทรงเศร้าโศกเสียใจอย่างท่วมท้นขณะทรงเตรียมจะสิ้นพระชนม์เพื่อเรา (มัทธิว 26:38)

 

ความคุ้นเคยกับความเศร้าโศกของพระเยซูทำให้พระเยซูเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นที่กำลังโศกเศร้า

 

พระเจ้าสามารถใช้เราในช่วงเวลาแห่งความเศร้าโศกเพื่อแสดงให้ผู้อื่นเห็นถึงความรักและความห่วงใยของพระเยซู

 

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้าแห่งการปลอบโยน มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่รู้ถึงความเจ็บปวดลึก ๆ ในใจของข้าพระองค์ โปรดช่วยให้ข้าพระองค์ปรับตัวเข้ากับความเศร้าโศกและความเจ็บปวดของผู้อื่นได้ และช่วยให้ข้าพระองค์สามารถส่งผ่านและแสดงความรัก ความห่วงใยของพระองค์ไปยังผู้อื่นเหมือนกับที่พระเยซูทรงทำ อธิษฐานในนามพระเยซู อาเมน


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

todaydevotional.com

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

รากฐานแห่งปัญญา

 


รากฐานแห่งปัญญา

การเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าพระเจ้าคือใครจะเปลี่ยนมุมมองชีวิตของเราทั้งหมด

 

7“ผู้ที่ตักเตือนคนชอบเยาะเย้ย มีแต่จะถูกตอกกลับ

ผู้ที่ตักเตือนคนชั่วร้าย มีแต่จะถูกทำร้าย

8อย่าไปว่ากล่าวคนชอบเยาะเย้ย ไม่อย่างนั้นเขาจะเกลียดชังเจ้า

จงตักเตือนคนฉลาด แล้วเขาจะรักเจ้า

9จงสอนคนฉลาด แล้วเขาจะฉลาดยิ่งขึ้น

จงสอนคนชอบธรรม แล้วเขาจะเรียนรู้มากขึ้น

10“ความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นที่เริ่มต้นของปัญญา

การรู้จักองค์บริสุทธิ์ทำให้เกิดความเข้าใจ

11เพราะเรา วันเวลาของเจ้าจะยืนยาว

และปีเดือนแห่งชีวิตของเจ้าจะเพิ่มพูน

12หากเจ้าฉลาด สติปัญญาของเจ้าจะให้บำเหน็จแก่เจ้า

หากเจ้าชอบเยาะเย้ย เจ้าก็จะทนทุกข์ตามลำพัง”

สุภาษิต 9:7-12

 

สุภาษิต 9:10 กล่าวว่า “ความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นจุดเริ่มต้นของสติปัญญา” อย่างไรก็ตาม ในขั้นต้น ความเชื่อมโยงอาจดูไม่ชัดเจน และเราอาจสงสัยว่า การยำเกรงพระเจ้าจะทำให้เราฉลาดได้อย่างไร

 

อันดับแรก มาดูกันว่ามันหมายถึงอะไรการยำเกรงพระเจ้า” สื่อถึงความยำเกรงต่อพระองค์อย่างน่าเกรงขาม และความคิดนั้นกระตุ้นเราให้ยอมรับพระเจ้าในฐานะผู้ปกครองสูงสุดแห่งสวรรค์และโลก ยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระองค์ และดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟัง

 

ผู้ที่อุทิศตัวเพื่อดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าจะได้รับความเข้าใจในพระองค์มากขึ้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงช่วยให้พวกเขาเห็นสถานการณ์และผู้คนจากมุมมองของพระเจ้า ปัญญาประเภทนี้มีมากกว่ามุมมองและการรับรู้ของมนุษย์และทำให้เรามีวิจารณญาณในการตัดสินใจที่เหมาะสมกับแผนของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเรา

 

วันนี้ ทัศนคติที่คุณมีต่อพระเจ้าเป็นอย่างไร? ถ้าคุณเคารพยำเกรงพระองค์อย่างแท้จริง คุณจะฟังคำแนะนำของพระองค์และเชื่อฟังคำเตือนของพระองค์  ความปรารถนาที่จะถวายเกียรติและทำให้พระองค์พอพระทัยจะกระตุ้นให้คุณหันหนีจากความชั่วร้ายและพยายามดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟัง และผลที่ตามมาคือปัญญาที่เหนือความเข้าใจของมนุษย์

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

intouch.org

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ อ่านมัทธิว 8:1 ถึง 11:1 ​    25 และพวกสาวกมาปลุกพระองค์ ทูลว่า “องค์พร...