6 วิธีในชีวิตประจำวัน ที่จะช่วยเราติดตามความชอบธรรมในพระเจ้า
“…องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชิงชังวิถีทางของคนชั่ว
แต่ทรงรักผู้ที่ติดตามความชอบธรรม” สุภาษิต 15:9
ฉันพยายามอ่านการให้ข้อคิดทางวิญญาณทุกวันหรือทำให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ การให้ข้อคิดทางวิญญาณช่วยทำให้ฉันดำเนินชีวิตอยู่ในแนวทางของฝ่ายวิญญาณและทำให้ศรัทธาของฉันเติบโตยิ่งขึ้น
ฉันเริ่มสงสัยว่าการแสวงหาความชอบธรรมหมายความว่าอย่างไร มันมีลักษณะอย่างไร? ฉันถามเพราะดูเหมือนว่าฉันจะมีความสับสนบางอย่างอยู่ และถ้าความชอบธรรมของเรามาจากพระเยซูเท่านั้น
แล้วมันมีอะไรให้เราติดตามบ้างละ?
พระคัมภีร์ได้ให้รายละเอียดว่าเราควรแสวงหาความชอบธรรมอย่างไรเพื่อให้ความเชื่อของเราจะสมบูรณ์แบบ
แต่ก่อนอื่น เราต้องรู้ก่อนว่าความชอบธรรมเริ่มต้นที่ใด
ความชอบธรรมเป็นของพระเยซู
เป็นเวลาหลายปีที่ชาวอิสราเอลมีความหวังอยู่เสมอว่าวันหนึ่งพระเจ้าจะส่งคนมาไถ่พวกเขาจากบาป
น่าเสียดายที่ใครหลายคนยังไม่ยอมรับ แต่สำหรับผู้ที่ยอมรับพระเยซูในฐานะพระคริสต์ตามพระสัญญา
เราก็มีความหวังใหม่ในความชอบธรรมของพระองค์ซึ่งครอบคลุมความบาปของเราด้วย
ความชอบธรรมของเราเริ่มต้นด้วยการเข้าใจว่าเราไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าเพราะความบาปของเรา อิสยาห์ 64:6 กล่าวว่า
“ข้าพระองค์ทั้งปวงกลายเป็นผู้มีมลทิน
ความประพฤติอันชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งปวงเหมือนผ้าขี้ริ้วโสโครก
ข้าพระองค์ทั้งหลายเหี่ยวเฉาประหนึ่งใบไม้ร่วง
และบาปของข้าพระองค์ทั้งหลายเหมือนลมพัดเอาพวกข้าพระองค์ปลิวหายไป”
เราไม่คู่ควรที่จะยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ความบริสุทธิ์และความสมบูรณ์แบบของพระองค์ไม่สามารถทนต่อบาปได้ มันช่างชัดเจนและเรียบง่าย ลักษณะบาปที่รักษาไม่หายของเราต้องการพระผู้ไถ่ที่สามารถทำให้เราชอบธรรมได้และปกปิดบาปของเราด้วยความชอบธรรมอันศักดิ์สิทธิ์
เพื่อว่าพระบิดาจะทรงยอมรับเรา พระเยซูเป็นพระผู้ไถ่ของเราและพระองค์เป็นผู้เดียวที่ทำเช่นนี้ได้
“พระเจ้าทรงกระทำพระองค์ผู้ปราศจากบาปให้เป็นบาปเพื่อเรา
เพื่อในพระองค์เราจะกลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า ” 2 โครินธ์ 5:21
“องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นความชอบธรรมของเรา” เยเรมีย์
23:6
พระเยซูประทานความชอบธรรมแก่เราอย่างอิสระ และถ้าไม่มีพระเยซู พระเจ้าก็รับเราไม่ได้ เพราะ เรายังเป็นผ้าขี้ริ้วโสโครก ดังนั้น การรับความชอบธรรมของพระเยซูจึงเป็นเรื่องสำคัญ หลังจากนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วว่าจะดำเนินการต่อไปโดยปรารถนาความบริสุทธิ์เหนือสิ่งอื่นใดและแสวงหาอุปนิสัยที่เหมือนพระคริสต์ มากน้อยแค่ไหน
การใฝ่หาความชอบธรรมหมายความว่าเราเป็น “งานที่อยู่ระหว่างการดำเนินการอยู่”
มันจะสมบูรณ์แบบเมื่อเวลาผ่านไปผ่านทางการเชื่อฟังพระองค์ และปรากฏเป็นหลักฐานยืนยันถึงความเชื่อของเรา
เราทำงานทุกวันโดยมีเป้าหมายที่จะเห็นความสมบูรณ์แบบที่แท้จริง
เติบโตใกล้ชิดกับพระองค์
เราไม่สามารถแสวงหาความชอบธรรมได้โดยลำพัง เราต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า
ต่อไปนี้คือ 6วิธีในชีวิตประจำวันที่คุณสามารถติดตามความชอบธรรมเพื่อให้ความสัมพันธ์ของคุณและพระเจ้าแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
1.แสวงหาการสถิตอยู่ของพระองค์
การออกกำลังกายไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจจำเป็นต้องแสดงออกมา
หากขาดการลงมือทำก็หมายความว่าไม่มีอะไรสำเร็จ ซึ่งเป็นเหตุผลที่เราต้องแสวงหาการทรงสถิตของพระเจ้าทุกวัน
การอ่านถ้อยคำของพระองค์และใช้เวลาสนทนากับพระองค์เป็นวิธีพื้นฐานในการแสวงหาความชอบธรรม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณเองก็เคยได้รับคำแนะนำเรื่องนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้วเหมือนกัน และหากเราตั้งใจทำตามเราจะได้ใกล้ชิดกับพระเจ้าค์มากขึ้น
2.เดินในพระวิญญาณ
ในกาลาเทีย 5:22–23 อัครสาวกเปาโลให้รายละเอียดเกี่ยวกับผลของพระวิญญาณ
ได้แก่ ความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความสัตย์ซื่อ
ความสุภาพอ่อนโยน และการควบคุมตนเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำทางและโน้มน้าวให้เราปฏิบัติคุณลักษณะเหล่านี้ทุกวันเพื่อให้เราเกิดผลดี (ทำสิ่งที่ดีต่อตัวเองและคนรอบข้าง)
และแสดงให้ผู้อื่นเห็นถึงการแสวงหาความชอบธรรมของเรา
ผลไม้ดีย่อมมีผลดีเพิ่มขึ้น การเลือกของเราส่งผลต่อผู้คนรอบตัวเรา
การเดินในพระวิญญาณไม่เพียงแต่ทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าลึกซึ้งขึ้นเท่านั้น
แต่ยังส่งเสริมผู้อื่นในการแสวงหาของพวกเขาได้อีกด้วย
3.เชื้อเชิญปัญญา
พระเจ้าทรงให้ความสำคัญกับสติปัญญามากเสียจนพระองค์ต้องการให้คุณทูลขออย่างเจาะจง
ต่อไปนี้เป็นข้อพระคัมภีร์สองสามข้อที่เราควรพิจารณา
“ความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นที่เริ่มต้นของปัญญา
การรู้จักองค์บริสุทธิ์ทำให้เกิดความเข้าใจ” สุภาษิต
9:10
“ถ้าผู้ใดในพวกท่านฉลาดและมีความเข้าใจ
ก็ให้เขาแสดงออกมาโดยการดำเนินชีวิตที่ดี
โดยการกระทำอันถ่อมสุภาพซึ่งมาจากสติปัญญา” ยากอบ 3:13
““เรา ปัญญา อยู่คู่ความสุขุมรอบคอบ
เรามีความรู้และความเฉลียวฉลาด” สุภาษิต 8:12
“ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา
จงทูลขอจากพระเจ้าผู้ประทานด้วยพระทัยกว้างขวางแก่คนทั้งปวงโดยไม่ตำหนิ
แล้วผู้นั้นจะได้รับ” ยากอบ 1:5
ฉันเชื่อว่าการแสวงหาสติปัญญาจากพระเจ้าเป็นหลักฐานของความชอบธรรม สติปัญญาอาจมีประโยชน์ในสถานการณ์ต่างๆ
ของชีวิตเรา แต่สติปัญญาที่มาจากพระเจ้านั้นอยู่ในอีกระดับหนึ่งที่เหนือกว่า สติปัญญาของพระเจ้านั้นเกี่ยวข้องกับความรู้ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับพระเจ้าและวิถีทางของพระองค์
สติปัญญาจากพระเจ้าช่วยทำให้เรามีความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับสิ่งถูกและผิด และทำให้เรามีความมั่นใจที่จะตอบสนองต่อผู้อื่นโดยอาศัยความรัก
4.เป็นคนใจกว้าง
พระเยซูเป็นผู้ที่ใจกว้างที่สุดเท่าที่เคยเดินบนโลกใบนี้ การเสียสละของพระองค์บนไม้กางเขนเพื่อเราแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงธรรมชาติแห่งการให้ของพระองค์
ในฐานะสาวกของพระองค์
เราถูกเรียกให้เป็นคนใจกว้างเช่นกัน
กาลาเทีย 6:10 บอกให้เรา “ทำสิ่งดีเพื่อคนทั้งปวง”
พระเยซูเองบอกเราว่าการให้ดีกว่าการรับ (กิจการ 20:35)
และเนื่องจากความรักเป็นผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระวิญญาณ ยอห์นจึงบอกเราใน 1 ยอห์น
3:17 ว่า “ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สิ่งของ และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแต่ยังไม่สงสารเขา
ความรักของพระเจ้าจะอยู่ในผู้นั้นได้อย่างไร?” ยอห์นกำลังบอกว่าเราควรเผื่อแผ่ความรักของเราแก่ผู้อื่นอย่างเหมาะสม
ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไม่ได้เป็นเพียงข้อกำหนดในการดำเนินชีวิตแบบคริสเตียนของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นผลพลอยได้จากการแสวงหาความชอบธรรมของเราด้วย เป็นธรรมชาติของการมีความสัมพันธ์ร่วมกับพระเยซู
เราสามารถเป็นคนใจกว้างได้โดยใช้หลักการอื่นในพระคัมภีร์ นั่นคือ เวลา
พรสวรรค์ และทรัพย์สมบัติของเรา เราแต่ละคนมีหนึ่งในสามอย่างนี้เสมอและเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
ลองตรวจสอบถึงสิ่งที่คุณจะสามารถมอบให้คนอื่นได้ในทุกวัน จงเป็นพรแก่ผู้อื่นในทุกวันและทำให้วันของคนอื่นๆเป็นวันที่ดีขึ้น และจงทำด้วยใจยินดี
5.อย่าเป็นคนตาบอดตาสั้น
“…5ด้วยเหตุนี้ท่านจงพยายามทุกวิถีทางที่จะเพิ่มความดีเข้ากับความเชื่อ
เพิ่มความรู้เข้ากับความดี 6เพิ่มการบังคับตนเข้ากับความรู้
เพิ่มความอดทนบากบั่นเข้ากับการบังคับตน
เพิ่มการดำเนินในทางพระเจ้าเข้ากับความอดทนบากบั่น
7เพิ่มความรักฉันพี่น้องเข้ากับการดำเนินในทางพระเจ้า
และเพิ่มความรักเข้ากับความรักฉันพี่น้อง
8เพราะถ้าท่านมีคุณสมบัติเหล่านี้มากยิ่งๆ
ขึ้นก็จะทำให้ท่านมีประสิทธิภาพและเกิดผลในการรู้จักองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา 9แต่ถ้าผู้ใดขาดคุณสมบัติเหล่านี้ก็ตาบอดตาสั้น
และลืมว่าตนได้รับการทรงชำระจากบาปในอดีตแล้ว”
เปโตรกำลังสะท้อนสิ่งที่เปาโลเขียนเกี่ยวกับผลของพระวิญญาณในหนังสือกาลาเทียในหลายๆ
ด้าน พระองค์ทรงเตือนให้เรามีคุณธรรม มีความรู้ในพระคำ ใช้การควบคุมตนเอง และพากเพียรในทุกสถานการณ์เพื่อสร้างความชอบธรรม ซึ่งทั้งหมดนี้นำไปสู่หลักฐานแห่งความรักของพระเจ้าภายในตัวเรา
6.อย่ายอมแพ้
การแสวงหาความชอบธรรมเป็นการเดินทางที่ต่อเนื่อง เราต้องให้กำลังใจตัวเองทุกวันในองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยการเฝ้ามองไปที่พระองค์
อ่านพระคำ อธิษฐานและทูลขอสติปัญญา
และพยายามอย่างเด็ดเดี่ยวเพื่อดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ นี่คือสิ่งที่เปาโลอธิษฐานขอในฟิลิปปี 1:9–11
“และข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้ความรักของท่านทวียิ่งขึ้นในความรู้และการหยั่งรู้ทุกอย่าง
เพื่อท่านจะเห็นชอบในสิ่งที่ดีเลิศ
และเพื่อวันแห่งพระคริสต์จะเต็มไปด้วยผลของความชอบธรรมที่จะมาถึง
จงบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิ พระเยซูคริสต์เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า”
แม้ว่าพระเจ้าจะรู้ว่าความชอบธรรมของเรานั้นยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่พระองค์ทรงพอพระทัยเสมอที่เห็นความมุ่งมั่นของเรา
การกระทำง่ายๆ บวกกับการมีความพยายามและไม่ย่อท้อของเรา ดึงดูดความสนใจของพระองค์ทุกครั้ง
ดังนั้นอย่ายอมแพ้ ที่จะติดตามความชอบธรรมของคุณในองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยระลึกว่าพระองค์จะทรงอวยพรผู้ที่แสวงหาพระองค์ (คร่ำครวญ
3:25)
“ท่านจะพบผู้ที่ชื่นชมยินดีและประพฤติชอบธรรม
ผู้ซึ่งระลึกถึงท่านในทางของท่าน” อิสยาห์ 64:5
ความชอบธรรมของพระเจ้ามีประโยชน์อย่างไร?
ความชอบธรรมทำให้มนุษย์เข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น เนื่องจากช่วยเพิ่มความสามัคคีธรรมกับพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ อาดัมมีความสุขกับการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าก่อนที่เขาจะล้มลงเพราะความอธรรม
ความชอบธรรมยังมีอำนาจและสิทธิอำนาจ เพราะให้ชัยชนะในการสู้รบ มันนำการทรงสถิตของพระเจ้ามาเสมอและทำให้เกิดความกล้าหาญ
พระพรแห่งความชอบธรรมคืออะไร?
สุภาษิต 4:18 กล่าวว่า “หนทางแห่งความชอบธรรมเหมือนแสงแรกแห่งรุ่งอรุณ
ส่องแสงเจิดจ้ายิ่งขึ้นจนรุ่งสว่าง” กล่าวอีกนัยหนึ่ง
เมื่อคุณและฉันรับใช้พระเยซูและติดตามพระองค์ เส้นทางของเราจะสว่างไสวยิ่งขึ้น!
เมื่อเราถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระพรของพระองค์จะตกอยู่กับลูกหลานและบ้านของเราตลอดไป
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ
Steppesoffaith
ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น