วันเสาร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2566

สุภาษิต 4:20

 


ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการเฝ้าเดี่ยว-วัยเรียน – สุภาษิต 4:20

 

ลูกเอ๋ย จงตั้งใจฟังสิ่งที่เรากล่าว

เงี่ยหูฟังถ้อยคำของเรา

– สุภาษิต 4:20  

 

คุณเคยรู้สึกผิดที่ไม่ใส่ใจฟังคนที่กำลังพูดกับคุณบ้างไหม? บางทีแม่ของคุณอาจจะคุยกับคุณอยู่ แต่คุณกลับใจลอยไปคิดถึงเรื่องอื่นๆ และแม้ว่าคุณจะไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แต่คุณก็ได้พลาดในสิ่งที่แม่พูดส่วนใหญ่ไปแล้วเพราะจิตใจของคุณมุ่งความสนใจไปที่สิ่งอื่น

 

เป็นเรื่องง่ายมากที่เราจะทำสิ่งเดียวกันนี้กับพระเจ้า บางทีคุณอาจเคยได้ยินข้อพระคัมภีร์นี้ที่มีการเทศนาที่โบสถ์หลายร้อยครั้ง และคุณก็เลยแยกตัวออกไปเพราะฟังจนชิน หรือบางทีคุณอาจรู้ดีว่าพระคัมภีร์บอกให้คุณทำอะไร แต่คุณก็ไม่อยากทำมันจริงๆ เพราะมันยากและต้องใช้เวลา ดังนั้นคุณจึงพยายามไม่คิดถึงมันมากนัก โดยการแกล้งลืมๆมันไป

 

การเอาใจใส่ต่อพระวจนะของพระเจ้าต้องใช้ระยะเวลาในการทำ และคุณต้องใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งต่างๆ มากมายรอบตัวมาเรียกร้องและดึงความสนใจของคุณไปจากพระองค์ การมุ่งความสนใจไปที่พระวจนะของพระเจ้านั้นคุ้มค่าจริงๆ เพราะคำตอบมากมายที่คุณต้องการในชีวิตสามารถพบได้ในการอธิษฐานและการศึกษาพระคัมภีร์ หากคุณต้องการสติปัญญาในการจัดการกับคนเจ้าปัญหา พระคัมภีร์ก็มีคำตอบให้คุณ ดังนั้นแทนที่จะเปิดข้อพระคัมภีร์แบบเก่าๆ เดิมๆ ที่คุณเคยทำมาหลายล้านครั้ง ลองขอให้พระเจ้าทำให้มันดูสดและใหม่สำหรับคุณแทน และขอให้พระองค์แสดงให้คุณเห็นสิ่งใหม่ๆ ที่คุณไม่เคยเห็นในพระคำข้อนี้หรือทูลขอสติปัญญาจากพระองค์เกี่ยวกับวิธีนำสิ่งที่คุณอ่านมาประยุกต์ใช้กับชีวิตของคุณเพื่อให้เกิดผลที่ดีที่สุด

 

หากคุณใส่ใจกับพระวจนะของพระเจ้า คุณจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีในชีวิตของคุณ ดัง​นั้น จง​พยายาม​ใช้​เวลา​อ่าน​คัมภีร์นะคะ

 

ข้อพระคัมภีร์ประจำวันเหล่านี้เต็มไปด้วยเนื้อหาที่ยอดเยี่ยม เมื่อวัยรุ่นอ่านพวกเขาจะเติบโตในการดำเนินกับพระเจ้า รวมถึงการให้ข้อคิดทางวิญญาณซึ่งจะช่วยให้วัยรุ่นรู้จักความรักของพระเจ้าอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

 

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

 ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

 n6v.61c.myftpupload.com

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


พระเจ้าผู้ทรงตอบสนองทุกความต้องการ

 


พระเจ้าผู้ทรงตอบสนองทุกความต้องการ

พระบิดาในสวรรค์ของเราทรงห่วงใยทุกแง่มุมของชีวิตเรา

 

อ่าน เอเฟซัส 1:3-10

 

การดูแลที่พระเจ้ามีต่อเราไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องฝ่ายวิญญาณเท่านั้น พระองค์สนใจรายละเอียดชีวิตประจำวันของเราด้วย เรามักจะแบ่งชีวิตออกเป็นหมวดหมู่ โดยแยกแยะเป็นประเด็น เกี่ยวกับงาน เกี่ยวกับบ้าน และเกี่ยวกับศรัทธา แต่พระบิดาในสวรรค์ทรงเห็นว่าเราเป็นคนที่สมบูรณ์

 

พระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงเลี้ยงดูร่างกาย (ลูกา 12:29) สติปัญญา (สุภาษิต 2:6-7) และสันติสุขในจิตใจ  (ฟิลิปปี 4:7) และเนื่องจากผู้เชื่อเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูผ่านทางพระวิญญาณที่สถิตอยู่ของพระองค์ ทุกแง่มุมของการดำรงอยู่ของคริสเตียนจึงมีความเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณ  

 

พระวจนะของพระเจ้าเน้นย้ำคำมั่นสัญญาของพระองค์ต่อทั้งตัวของผู้เชื่อ: “ฤทธิ์เดชอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ได้ประทานทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความชอบธรรมแก่เรา” (2 เปโตร 1:3) เราไม่จำเป็นต้องสงสัยว่าพระองค์ทรงสามารถหรือต้องการสนองความต้องการของเราหรือไม่ เพราะพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ ผู้เปี่ยมล้นด้วยพระกรุณาของพระองค์ไม่เคยสิ้นสุด (เพลงคร่ำครวญ 3:22) ประทานทุกสิ่งที่จำเป็นแก่ผู้เชื่อเพื่อให้ศรัทธาของพวกเขาเติบโต ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ความสบายใจ ความรู้ หรือสันติสุข

 

พระบิดาในสวรรค์ผู้เปี่ยมด้วยความรักทรงมองลูกๆ ของพระองค์ในฐานะคนที่สมบูรณ์มากกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดำรงชีวิตประจำวันธรรมดาๆเท่านั้น เรากำลังหลอกลวงตัวเองเมื่อเราคิดว่าพระเจ้าจะสนใจแต่ความต้องการฝ่ายวิญญาณของเราเท่านั้น แท้จริงแล้วพระองค์ทรงมีพรมากมายที่จะมอบให้กับเรา และมีพอเพียงสำหรับทุกคนที่เชื่อและวางใจ —สิ่งที่เราต้องทำคือการอธิษฐานต่อพระองค์

 

เราสนับสนุน และท้าทายคุณ ที่จะแสวงหาความใกล้ชิดกับพระเจ้าในทุกๆวัน

 

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

 ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

 

 intouch.org

 

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot

 


วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2566

พระเจ้าทรงเป็นครูของคุณ

 


การให้ข้อคิดทางวิญญาณ  | พระเจ้าในฐานะครู

อ่านสดุดี 25:1–22

 

ขอทรงนำข้าพระองค์ไปในความจริงของพระองค์และสอนข้าพระองค์

เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพระองค์

และความหวังของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์วันยังค่ำ

สดุดี 25:5

 

ในบทอ่านวันนี้ ดาวิดพรรณนาถึงพระเจ้าในฐานะครูของเขา เขาถามพระเจ้าว่า: “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดแสดงทางของพระองค์แก่ข้าพระองค์ โปรดทรงสอนทางของพระองค์แก่ข้าพระองค์” (ข้อ 4) เขาต้องการได้รับคำแนะนำจากพระเจ้า เพราะเขารู้ว่าพระเจ้าทรง “ดีและเที่ยงธรรม” (ข้อ 8)

 

คำขอของดาวิดขึ้นอยู่กับความจริงที่สำคัญสองประการ ประการแรก พระเจ้าทรงห่วงใยเราและปรารถนาให้เราเปลี่ยนแปลง ดาวิดยืนยันว่า “ทางทั้งสิ้นของพระเจ้าเต็มไปด้วยความรักและความซื่อสัตย์” (ข้อ 10) พระเจ้าทรงห่วงใยเขาแม้ว่าเขาจะไม่ได้สมบูรณ์แบบก็ตาม พระเจ้ายัง “สั่งสอนคนบาปให้ประพฤติตามทางของพระองค์” (ข้อ 8) ดังที่พระเยซูทรงสอนว่า “คนแข็งแรงไม่ต้องการหมอ แต่คนป่วยต้องการ” (มัทธิว 9:12)

 

ประการที่สอง คำขอของดาวิดถือว่ามีความอ่อนน้อมถ่อมตน การถูกสอนอาจเป็นเรื่องเจ็บปวดและยากลำบาก มันหมายถึงการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและพฤติกรรมของเรา การเรียนรู้ที่จะเดินในทางของพระเจ้านั้นต้องเริ่มต้นด้วยความยำเกรงหรือมีความเคารพต่อพระเจ้า (ข้อ 12) คนหยิ่งผยองไม่สามารถเรียนรู้ได้ พวกเขามัวแต่ยุ่งกับการดูถูกคนอื่นจนไม่มีเวลาสนใจพระเจ้า ดาวิดเตือนเราว่าพระเจ้าทรง “ชี้นำคนถ่อมตัวในสิ่งที่ถูกต้อง” (ข้อ 9) ทัศนคติของเราควรสะท้อนถึงทัศนคติของดาวิด: “ตาของข้าพเจ้าเพ่งดูพระเจ้าอยู่เสมอ เพราะพระองค์เท่านั้นที่จะทรงปล่อยเท้าของข้าพเจ้าจากบ่วง” (ข้อ 15) หรือดังที่เปาโลได้สั่งสอนคริสตจักรในเมืองฟีลิปปีว่า “จงมีความคิดแบบเดียวกับพระเยซูคริสต์...[ผู้ทรง] ถ่อมตนลงโดยการเชื่อฟังจนตาย—แม้กระทั่งความตายบนไม้กางเขน!” (ฟิลิป. 2:5, 8)

 

>> พระเจ้าทรงเป็นครูของคุณ ไม่มีใครสามารถนำทางและสั่งสอนคุณได้เหมือนที่พระองค์ทรงทำได้ ขอให้เราจับตาดูพระเจ้าในวันนี้และมองไปที่พระคำของพระองค์เพื่อรับคำแนะนำ

 

อธิษฐานกับเรา

ข้าแต่พระเจ้า โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ขอโปรดทำให้เราเข้าใจพระวจนะของพระองค์ ขอทรงสอนเราถึงเสียงพระสุรเสียงของพระองค์และความรู้สึกแห่งการกระตุ้นเตือนของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งปัญญาทั้งมวล และพระองค์ทรงสร้างเราตามพระฉายาของพระองค์ และทรงทำให้เราฉลาด ในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

 

 

เราสนับสนุน และท้าทายคุณ ที่จะแสวงหาความใกล้ชิดกับพระเจ้าในทุกๆวัน

 

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

 ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

todayintheword.org


ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot

 


วันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2566

อย่าให้เราอ่อนล้าในการทำดี

 


อย่าให้เราอ่อนล้าในการทำดี

การเก็บเกี่ยวกำลังจะมา! ดังนั้นเมื่อคุณเหนื่อย จงขอพลังจากพระเจ้าเพื่อช่วยให้คุณก้าวต่อไปได้

 

อ่าน กาลาเทีย 6:9-10

9อย่าให้เราอ่อนล้าในการทำดี เพราะถ้าเราไม่ย่อท้อ เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันเหมาะสม 10เหตุฉะนั้นเมื่อมีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนที่อยู่ในครอบครัวแห่งความเชื่อ

 

การรอคอยมีอย่างน้อยสองประเภท บางครั้งเราก็ต้องรอด้วยความอดทน เช่นขณะติดอยู่ในรถที่มีการจราจรติดขัด ,ขณะที่กำลังรอสายโทรศัพท์นานๆ หรือขณะรอทำธุระอะไรสักอย่างแล้วมีคิวเข้าแถวที่ยาวมากๆ   แต่บางครั้งเราก็รอคอยด้วยความใจจดใจจ่อ เช่นรอวันหยุดสุดสัปดาห์ รอวันหยุดภาคฤดูร้อน และรอวันเกษียณอายุ โดยปกติแล้วเราจะทำงานของเราไปเรื่อยๆ เพื่อรอช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนที่จะมาถึงนี้

 

ประสบการณ์เหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจเกี่ยวกับการ “รอคอยพระเจ้า” ของพันธสัญญาเดิม (ในสดุดี 131:3 เป็นต้น) พระเจ้าตรัสกับอิสราเอลผ่านทางเศฟันยาห์ว่า ““ฉะนั้นคอยดูเถิด” (เศฟันยาห์ 3:8) แล้วมันเป็นการรอคอยแบบไหนกันนะ?

 

บางครั้งอาจดูเหมือนเฉยๆ  บางคนอาจถามว่า เหมือนการรอต่อแถวหรือเปล่า แต่โดยทั่วไปแล้ว การรอคอยพระเจ้า คือการรอคอยแบบที่คนสวนเขาทำกัน นั่นก็คือ พวกเขาจะหว่านเมล็ดพืชทิ้งไว้และทำงานอื่นๆต่อไปและรอจนกว่าจะถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว เปาโลสนับสนุนชาวกาลาเทียให้ทำเช่นนี้ คืออย่าอ่อนล้าในการทำดี จงทำต่อไปในขณะที่พวกเขารอคอย เพราะ “การเก็บเกี่ยวกำลังมา” เปาโลกล่าวอีกว่า “ อย่าปล่อยให้ความเหนื่อยล้ามาทำให้คุณท้อแท้จากสิ่งที่คุณทำ”

 

เปาโลกล่าวว่าหัวใจของงานนี้คือการดำเนินชีวิตตามพระสัญญาของข่าวประเสริฐในที่ที่เราอยู่ “ในขณะที่เรามีโอกาส” เปาโลกล่าวกล่าวต่อว่า “ให้เราทำดีแก่คนทั้งปวง” (ข้อ 10) การทำดีเกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อเราเชื่อในพระสัญญาของข่าวประเสริฐเกี่ยวกับอนาคต ขณะที่เรารอการเสด็จกลับมาของพระเจ้า ให้เรามองหาโอกาสเพื่อเป็นพรแก่ผู้อื่น และเราจะสามารถวางใจได้ว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อที่จะนำพืชผลมา “ตามเวลาที่กำหนด” (ข้อ 9)

 

จงจำไว้ว่า วันเวลาของพระเจ้าดีต่อผู้ที่รักพระองค์เสมอ

 

เราสนับสนุน และท้าทายคุณ ที่จะแสวงหาความใกล้ชิดกับพระเจ้าในทุกๆวัน

 

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

 ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

  intouch.org

 

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot

 


วันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2566

พระเจ้าที่จะจัดเตรียมทุกสิ่งที่เราต้องการ

 


ต้านทานความวิตกกังวล

การไว้วางใจว่าพระเจ้าจะทรงจัดเตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับเรา ช่วยให้เราสามารถดำเนินชีวิตและดำเนินตามพระประสงค์ของพระองค์ได้อย่างมีสันติสุข

 

อ่าน ลูกา 12:22-34

 

กวีสมัยใหม่ท่านหนึ่งบรรยายถึงช่วงเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ตอนนี้ว่าเป็น “ยุคแห่งความวิตกกังวล”ชีวิตของเรามีความวิตกกังวลที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโลกมีความต้องการที่ "มากขึ้น"  ด้วยโฆษณาและข้อมูลข่าวสารที่ท่วมท้นในแต่ละวัน

 

เราอาจคิดว่า นี่เป็นสิ่งที่ต้องมีสำหรับชีวิตเรา   แต่มันจริงหรือ? ในลูกา 12 พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “อย่ากังวลกับชีวิตของคุณ”  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์ตรัสว่า อย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับชีวิตของท่านว่าจะเอาอะไรกิน หรืออย่าพะวงเกี่ยวกับร่างกายของท่านว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม พระองค์ทรงกระตุ้นให้เราพิจารณาดูนกกาและดอกไม้ หากพระเจ้าทรงเลี้ยงดูพวกมันและตกแต่งหญ้าในทุ่งอย่างมีเกียรติ พระองค์จะทรงจัดเตรียมให้ตามความต้องการของเราอย่างแน่นอน!

 

สิ่งที่พระเยซูตรัสในตอนแรกอาจฟังดูไม่เข้าใจ เพราะเรารู้ดีว่าอาหารและเสื้อผ้าไม่ได้ลอยออกมาจากอากาศ เว้นแต่เราจะทำงานหนักเพื่อให้ได้มันมา ไม่งั้นเราก็จะไม่ได้ในสิ่งที่เราต้องการ

 

และคำสอนของพระเยซูก็ไม่ใช่ใบอนุญาตที่มีไว้ให้สำหรับความเกียจคร้านด้วย แต่เป็นคำเชิญชวนให้ทำงานเท่าที่ลูกๆของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำได้ และการคิดว่า "ด้วยความพยายามและความทุ่มเทของฉันมันก็เพียงพอที่จะช่วยจัดหาทุกความต้องการของฉันได้แล้ว" นี่ถือว่าเป็นมุมมองที่ผิดเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าและอาณาจักรของพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “พระบิดาทรงเลือกประทานอาณาจักรแก่ [เรา]” (ข้อ 32) และหากเราเห็นพระองค์เป็นพระบิดาผู้เปี่ยมด้วยความรัก ผู้ทรงสามารถและเต็มใจที่จะจัดเตรียมทุกสิ่งที่เราต้องการ เราก็สามารถแลกเปลี่ยนจากความกลัวและความกังวลเกี่ยวกับชีวิตของเรามาเป็นความอดทนและความไว้วางใจได้

 

เราสนับสนุน และท้าทายคุณ ที่จะแสวงหาความใกล้ชิดกับพระเจ้าในทุกๆวัน

 

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

 ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

  intouch.org

 

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot

 


วันพุธที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2566

การกลับภูมิลำเนาของประชากรของพระเจ้า

 


กลับภูมิลำเนา

 อ่านพระคัมภีร์ — เอซรา 1:1-6

ผู้ใดในหมู่พวกท่านที่เป็นประชากรของพระเจ้า ขอให้พระเจ้าของเขาสถิตกับเขา และให้เขากลับไปยังเยรูซาเล็มในยูดาห์และสร้างพระวิหารของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล พระเจ้าผู้ประทับในเยรูซาเล็ม

— เอสรา 1:3

 

สำหรับพวกเราหลายๆ คนในปัจจุบัน “บ้าน” อาจไม่ใช่ที่ที่เราอาศัยอยู่ในตอนนี้แต่เป็นที่ที่เรามีรากฐานหรือมีประวัติทางครอบครัว บางทีอาจเป็นที่ที่คุณเติบโตมา หรืออาจเป็นประเทศที่ครอบครัวของคุณอพยพมา เมื่อได้รับการสร้างขึ้นจาก “บ้าน” นั้นแล้ว การมีโอกาสได้กลับไปอีกจึงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น

 

ชาวยิวถูกเนรเทศมาหลายชั่วอายุคน ห่างไกลจากบ้านบรรพบุรุษของพวกเขา แม้ว่าบางคนจะคุ้นเคยกับสถานที่ใหม่ของตนแล้ว แต่ความทรงจำและเรื่องราวของกรุงเยรูซาเล็มก็ยังคงดึงดูดใจคนอื่นๆได้  ดังนั้นเมื่อมีโอกาสที่จะได้กลับไปผ่านทางพระราชกฤษฎีกาของกษัตริย์ผู้ปกครอง พวกเขาก็ตอบรับด้วยความกระตือรือร้นและพูดกันว่า “เรากลับกันเถอะ!”

 

สิ่งที่คล้ายกันสามารถเกิดขึ้นได้หลายครั้งในชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรา ถ้าเราอยู่ห่างไกลจากพระเจ้า เราก็จะสบายใจกับวิถีชีวิตแบบโลกได้ เราคุ้นเคยกับการได้ทำในสิ่งที่เราเห็นว่าเหมาะสมตามความคิดเรา และเราสามารถตัดสินใจพลาดได้ ซึ่งจะนำเราไปสู่อันตรายหรือแม้แต่พบกับความพินาศได้ แต่พระวิญญาณของพระเจ้ายังคงกระตุ้นหัวใจของเรา เตือนเราว่าเราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการนมัสการและความสัมพันธ์กับพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว

 

ในพระเยซู พระเจ้าทรงออกกฤษฎีกาที่อนุญาตให้วิญญาณที่หลงทางและดื้อดึงกลับมาร่วมสามัคคีธรรมกับพระองค์ พระองค์ทรงกระตุ้นหัวใจของเราและจัดเตรียมสถานการณ์ (ข้อ 5-6) ให้กลับมาหาพระองค์ ถ้าวันนี้คุณอยู่ห่างไกลจากพระเจ้าแล้ว ทำไมคุณไม่หันกลับมาและรับการฟื้นฟูจากพระองค์ในตอนนี้เล่า?

 

ข้าแต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอบพระคุณที่ทรงดึงหัวใจของข้าพระองค์และกระตุ้นให้ข้าพระองค์กลับมาหาพระองค์ โปรดช่วยให้ข้าพระองค์หันกลับมาและรับการฟื้นฟูในพระคริสต์ในวันนี้ อาเมน

 

  เราสนับสนุน และท้าทายคุณ ที่จะแสวงหาความใกล้ชิดกับพระเจ้าในทุกๆวัน

 

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

 ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

 todaydevotional.com

 

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot

 


ความสุขของการรอคอยพระสัญญาของพระเจ้า

 


ความสุขของการรอคอย

เมื่อเราตั้งตารอการปฏิบัติตามพระสัญญาของพระเจ้า เราก็จะสามารถชื่นชมยินดีในการสถิตอยู่ของพระองค์ในวันนี้ได้

 

อ่าน เศฟันยาห์ 3:14; เศฟันยาห์ 3:16-17

 

เศฟันยาห์ต้องแจ้งข่าวร้ายแก่ยูดาห์ เนื่องจากบาปของพวกเขา—โดยเฉพาะอย่างยิ่งบาปของการบูชารูปเคารพเท็จ—วันแห่งการพิพากษาอันยิ่งใหญ่จึงรออยู่ข้างหน้า ผู้เผยพระวจนะกล่าวว่า “ในวันนั้น พระเจ้าจะทรงพิพากษาศัตรูของพวกเขา แต่พระพิโรธของพระองค์จะทำลายล้างชนชาติที่พระองค์ทรงรักด้วย (เศฟันยาห์ 1:4-9)

 

อย่างไรก็ตาม ในข้อ 16 ของบทที่ 3 เศฟันยาห์ใช้วลีเดียวกัน—“ในวันนั้น”—เพื่อสัญญาว่าจะถึงเวลาแห่งการเริ่มต้นใหม่ พระเจ้าสนับสนุนให้พวกเขาชื่นชมยินดีแม้ในขณะที่พวกเขารอและอดทนต่อช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมาน เช่นเดียวกับศาสดาพยากรณ์คนอื่นๆ เศฟันยาห์เชื่อมโยงการทรงเรียกให้ชื่นชมยินดีกับการสถิตอยู่อย่างซื่อสัตย์ของพระเจ้าท่ามกลางประชากรของพระองค์ ไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญอะไร พระองค์จะทรงอยู่กับพวกเขา พวกเขามีศัตรูและรู้สึกถูกทอดทิ้ง แต่พระเจ้าทรงเป็น "นักรบที่ได้รับชัยชนะ" ซึ่ง "จะชื่นชมยินดีเหนือ [พวกเขา] ด้วยเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี" (ข้อ 17)

 

แล้วเราล่ะ? เราเองก็ยังต้องรอโลกที่ได้รับการฟื้นฟูด้วยเช่นกัน ซึ่งการสามัคคีธรรมของเรากับพระเจ้าจะไม่มีวันสิ้นสุด ผู้เขียนฮีบรูมองว่าพระเยซูทรงเป็นแบบอย่างของเราในการทำงานที่มีความยินดีในขณะที่เรา “วิ่งด้วยความอดทน” ไปสู่เป้าหมายนั้น (ฮีบรู 12:1) เขาเขียนว่าให้พิจารณาถึงพระเยซู ผู้ทรงอดทนต่อไม้กางเขน “เพื่อความยินดีที่อยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์”—คือการได้ร่วมสามัคคีธรรมกับพระบิดา (ฮีบรู 12:2) เพราะเราเองก็ตั้งตารอที่จะได้รับพรเดียวกันนั้น เราจึงสามารถขจัดความกลัวและมีความชื่นชมยินดีได้!

 

  เราสนับสนุน และท้าทายคุณ ที่จะแสวงหาความใกล้ชิดกับพระเจ้าในทุกๆวัน

 

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

 ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

  intouch.org

 

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot

 


วันอังคารที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2566

พระเจ้าทรงจัดเตรียมบ้าน

 


พระเจ้าทรงจัดเตรียมบ้าน

อ่านพระคัมภีร์ — นางรูธ 4:13-22


ดังนั้นโบอาสจึงรับรูธมาเป็นภรรยาและอยู่กินกับนาง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดให้นางตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง

— นางรูธ 4:13

 

รูธกลับมากับนาโอมีเพื่อสร้างบ้านใหม่ในเบธเลเฮม อย่างน้อยนาโอมิก็มีความทรงจำเกี่ยวกับผู้คนที่คุ้นเคยและสถานที่ต่างๆ ที่นั่น แต่รูธไม่มีความเกี่ยวข้องกับเบธเลเฮมเลย ในฐานะชาวต่างชาติ เธอมีความเสี่ยงเป็นสองเท่าในสถานที่ที่ใหม่สำหรับเธอแห่งนี้

 

แต่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้อย่างน่าทึ่ง ประการแรก “ตามที่ปรากฏ” (รูธ 2:3) เธอพบว่าตัวเองกำลังเก็บข้าวในนาของญาติผู้ใจดีชื่อโบอาส ประการที่สอง โบอาสสนใจในความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาวของรูธโดยตั้งเธอเป็นภรรยาของเขา สิ่งเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ แต่พระเจ้าทรงเชี่ยวชาญเรื่องความบังเอิญอันทรงพระคุณ

 

บางครั้งการเดินทางของเรา ที่ต้องไปยังสถานที่ที่เราคุ้นเคยหรือต้องไปยังสถานที่ใหม่ๆ ดูเหมือนว่ามันจะนำเสนอโอกาสบางอย่างที่ดูไม่น่าเป็นไปได้ให้กับเรา บางทีคุณอาจนึกภาพไม่ออกว่าจะกลับไปโบสถ์เก่าที่เคยไปได้อย่างไรเพราะคุณเคยเจ็บปวดจากสมาชิกของโบสถ์ในอดีตมาก่อน หรือบางทีคุณอาจรู้สึกว่าบาปของคุณหนักเกินกว่าจะให้อภัยได้ แต่โปรดทราบว่าพระเจ้าทรงอภัยบาปทั้งหมดของเราผ่านทางพระเยซูคริสต์

 

พระผู้เป็นเจ้าทรงมีวิธีจัดเตรียมผู้ที่อาจดูเหมือนไม่เข้าพวก ลำดับวงศ์ตระกูลในตอนท้ายของนางรูธ 4 แสดงให้เห็นว่ารูธกลายเป็นบรรพบุรุษของกษัตริย์ดาวิดผู้ยิ่งใหญ่ของอิสราเอล—และลำดับวงศ์ตระกูลของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด ผู้เป็นเชื้อสายของอับราฮัม (มัทธิว 1)

 

พระเจ้าสามารถนำคุณเข้าสู่ครอบครัวของพระเยซูได้เช่นกัน วันนี้ให้คุณวางใจพระองค์ เพื่อว่าพระองค์จะได้จัดเตรียมบ้านที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

 

ข้าแต่พระบิดาในสวรรค์ พระองค์ทรงทำให้ลูกประหลาดใจด้วยการยอมรับและการจัดเตรียมอย่างสง่างาม ลูกขอบพระคุณที่ต้อนรับลูกเข้าสู่ครอบครัวของพระองค์ผ่านทางพระคริสต์ และช่วยให้ลูกชื่นชมยินดีในการปกป้องและการไถ่บาปของพระองค์ อาเมน  

 

  เราสนับสนุน และท้าทายคุณ ที่จะแสวงหาความใกล้ชิดกับพระเจ้าในทุกๆวัน

 

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

 ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

 todaydevotional.com

  

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot

 


ความกล้าที่จะรอคอยพระองค์

 


ความกล้าที่จะรอ

เมื่อชีวิตดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ ให้คุณเลือกก้าวไปข้างหน้า ทำงานให้หนัก และวางใจพระเจ้าเพื่อผลลัพธ์ที่ดี


อ่าน ฮักกัย 2:4-9

4แต่บัดนี้จงเข้มแข็งเถิด เศรุบบาเบลเอ๋ย’ องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘จงเข้มแข็งเถิด มหาปุโรหิตโยชูวาบุตรเยโฮซาดักเอ๋ย จงเข้มแข็งเถิด ประชาชนทั้งปวงในดินแดนนี้’ องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น ‘และจงทำงานไปเถิด เพราะเราอยู่กับเจ้า’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น 5‘ตามที่เราได้ทำพันธสัญญาไว้กับเจ้าเมื่อเจ้าออกมาจากอียิปต์ และจิตวิญญาณของเรายังคงอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า อย่ากลัวเลย’

6“พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า ‘อีกสักหน่อยหนึ่ง เราจะเขย่าฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทะเล และผืนแผ่นดินอีกครั้ง 7เราจะเขย่ามวลประชาชาติและสิ่งที่ประชาชาติทั้งหลายพึงปรารถนาจะหลั่งไหลมา และเราจะทำให้นิเวศนี้เปี่ยมด้วยสง่าราศี’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น 8พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า ‘เงินและทองเป็นของเรา 9สง่าราศีของนิเวศปัจจุบันจะรุ่งโรจน์กว่าสง่าราศีของนิเวศเดิม’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น ‘และเราจะให้สันติสุขแก่สถานที่นี้’ พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น”

 

การทำฟาร์มนั้นต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก ตั้งแต่การไถ การเพาะปลูก ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว แต่เมื่อชาวนามองดูทุ่งนาที่ยังไม่ได้ไถ งานนั้นก็ได้เริ่มต้นขึ้นในจินตนาการของพวกเขาก่อนที่เมล็ดพันธุ์แรกจะถูกปลูกเสียอีก ชาวนาต่างก็หวังถึงปลายทางที่ดี หวังถึงการเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ และความหวังนั้นจะช่วยกระตุ้นการทำงานหนักของพวกเขาแม้จะยังไม่ถึงปลายทางก็ตาม

 

ชาวยิวที่กลับมายังกรุงเยรูซาเลมหลังจากถูกเนรเทศเกือบ 70 ปีต้องเผชิญกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่คล้ายกัน พวกเขาพบซากปรักหักพังซึ่งครั้งหนึ่งวิหารอันงดงามของพวกเขาเคยตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่ และดูเหมือนว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถูกสร้างขึ้นใหม่ ผู้คนต้องการความหวังในการฟื้นฟูจินตนาการสำหรับงานหนักที่รออยู่ข้างหน้า

 

เราอยู่กับเจ้า” พระเจ้าตรัสเช่นนั้น ทำให้พวกเขามีความหวังในการสถิตอยู่และฤทธานุภาพของพระองค์ พระองค์ได้ “ปลุกจิตวิญญาณ” ของผู้นำอิสราเอล เศรุบบาเบลและโยชูวา และทรงทำเช่นเดียวกันกับประชาชนด้วย (ฮักกัย 1:13-15) จากนั้นพระองค์ตรัสเกี่ยวกับการรอคอยโดยตรัสว่าสิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนแปลง “อีกสักหน่อยหนึ่ง” เพื่อให้พวกเขาเห็นพระสิริที่อยู่ข้างหน้า พระเจ้าทรงบอกให้พวกเขากล้าหาญและทำงานอย่างหนัก แล้วพระองค์ทรงสัญญาว่า “สง่าราศีของนิเวศปัจจุบันจะรุ่งโรจน์กว่าสง่าราศีของนิเวศเดิม… เราจะให้สันติสุขในสถานที่นี้” (2:4-9)

 

เมื่อความหวังของเราในอนาคตดูลิบลี่และอ่อนแอลง เราก็สามารถจดจำแผนการของพระเจ้าในการทำให้ “สง่าราศีของนิเวศปัจจุบันจะรุ่งโรจน์กว่าสง่าราศีของนิเวศเดิม”  ซึ่งนำมาใช้กับเราได้เช่นกัน พระองค์ทรงไถ่ทุกสิ่ง—แม้กระทั่งสิ่งที่ดูเหมือนไม่อาจไถ่กู้ได้ ดังนั้นเราจึงต้องมีความกล้าหาญและทำหน้าที่ในส่วนของเราอย่างหนัก และรอคอยวันเวลาของพระองค์

 

  เราสนับสนุน และท้าทายคุณ ที่จะแสวงหาความใกล้ชิดกับพระเจ้าในทุกๆวัน

 

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

 ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

   intouch.org

 

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot

 


วันจันทร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2566

จากความขมขื่นสู่ความหวัง

 


จากความขมขื่นสู่ความหวัง

อ่านพระคัมภีร์ — นางรูธ 1:8-22

ช่วงเวลาที่นาโอมีและรูธลูกสะใภ้ชาวโมอับจากโมอับมาสู่เบธเลเฮมนั้นตรงกับต้นฤดูเกี่ยวข้าวบาร์เลย์

นางรูธ 1:22

 

ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไปที่ผู้คนจะกลับคืนบ้านเกิด เพราะ ความทรงจำเก่าๆ ความผิดพลาดในอดีต และความคาดหวังอาจทำให้เรื่องยุ่งยากได้

 

นาโอมีออกจากโมอับด้วยความผิดหวังและความขมขื่น สำหรับเธอแล้ว การย้ายมาอยู่โมอับนำมาซึ่งความตาย ความสูญเสีย และความโศกเศร้า และเธอก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกับพวกเราหลายคน เธอตำหนิพระเจ้าสำหรับปัญหาของเธอ บางครั้งเป็นเรื่องยากที่จะเห็นพระหัตถ์อันเปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้าเมื่อเราเผชิญกับความยากลำบาก

 

แต่เมื่อนาโอมีเตรียมตัวเดินทางจากโมอับเพื่อกลับบ้านเก่า เธอไม่ได้อยู่คนเดียว รูธลูกสะใภ้คนหนึ่งของเธอเลือกที่จะมากับเธอและพูดว่า ““อย่าคะยั้นคะยอให้ลูกทิ้งแม่ไปเลย แม่ไปไหนลูกจะไปด้วย แม่อยู่ที่ไหนลูกจะอยู่ด้วย ญาติของแม่จะเป็นญาติของลูก และพระเจ้าของแม่จะเป็นพระเจ้าของลูกด้วย แม่ตายที่ไหนลูกจะตายที่นั่นด้วย และขอให้ถูกฝังอยู่ในที่เดียวกัน ถ้าลูกยอมให้มีอะไรมาแยกเราจากกันนอกจากความตาย ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดการกับลูกอย่างหนัก”  เมื่อนาโอมีเห็นว่ารูธตั้งใจแน่วแน่ที่จะไปด้วยก็เลิกรบเร้านาง(อ่าน ข้อ 15)

 

ดังที่เราเห็นในภายหลังในเรื่องนี้ พระเจ้าทรงสามารถไถ่ความว่างเปล่าของเราได้เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงยอมรับก้าวแรกของเราสู่พระองค์ด้วยศรัทธา แม้ว่าทัศนคติของนาโอมีจะดูมืดมนในตอนนี้ แต่พระคำของพระเจ้าให้ความหวังเพียงแวบเดียว นั่นคือฤดูเก็บเกี่ยวที่กำลังจะมาถึง พระเจ้าจะทรงทำให้เบธเลเฮมเป็นสถานที่แห่งพระพร และสิ่งมหัศจรรย์ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำที่นั่นจะเป็นพรแก่นาโอมิและรูธ—และทั้งโลกในที่สุด หลายปีต่อมา ผู้สืบเชื้อสายในครอบครัวของพวกเขาจะกลายเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก พระเยซูคริสต์ (ดู มัทธิว 1) พระเจ้าสัญญาว่าจะนำพระพรมาสู่ทุกคนที่พบว่าบ้านของตนในพระเยซู วันนี้เราจะก้าวไปหาพระองค์ไหม?


แม้ว่าความว่างเปล่าจะรู้สึกแย่ แต่ถ้าเราตอบสนองความว่างเปล่าอย่างถูกต้องมันก็สามารถกลายเป็นพรได้เช่นกัน ความว่างเปล่าเป็นการปลุกให้เราไปหาพระเจ้า ผู้ทรงเป็นผู้เดียวที่สามารถเปลี่ยนความว่างเปล่าให้เป็นความบริบูรณ์ และเติมเต็มเราด้วยความบริบูรณ์และพระพรของพระองค์ แม้ว่าทุกสิ่งรอบตัวเราจะยังคงอยู่ในความว่างเปล่าก็ตาม

 

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยให้ลูกมองข้ามความยากลำบากอันขมขื่น และเห็นถึงพระสัญญาที่พระองค์ทรงมอบไว้ในพระเยซูคริสต์ อาเมน

 

เราสนับสนุน และท้าทายคุณ ที่จะแสวงหาความใกล้ชิดกับพระเจ้าในทุกๆวัน

 

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

 ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

 todaydevotional.com

 

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot

 


ทรงสัญญาจะช่วยกอบกู้

 


ทรงสัญญาจะช่วยกอบกู้

หากคุณไม่รู้ว่าต้องทำอะไร ขอแค่คุณซื่อสัตย์ในจุดที่คุณอยู่ก็พอ

 

อ่าน มีคาห์ 4:1-2

1ในบั้นปลาย

ภูเขาที่พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าตั้งอยู่จะได้รับการสถาปนา

ให้เป็นเอกในหมู่ภูเขาทั้งหลาย

จะได้รับการเชิดชูเหนือบรรดาเนินเขา

และชนชาติต่างๆ จะหลั่งไหลไปที่นั่น

2ประชาชาติมากมายจะมาและกล่าวว่า

“มาเถิด ให้เราขึ้นไปบนภูเขาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ไปยังพระนิเวศของพระเจ้าของยาโคบ

พระองค์จะทรงสอนพระมรรคาของพระองค์แก่เรา

เพื่อเราจะดำเนินในวิถีทางของพระองค์”

บทบัญญัติจะออกมาจากศิโยน

พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะออกมาจากเยรูซาเล็ม

 

คำพยากรณ์ของมีคาห์ต่อชาวยูดาห์ฟังดูสิ้นหวัง ชาตินี้ตกอยู่ในรูปเคารพและบาปอื่นๆ และผลที่ตามมาก็คือต้องเผชิญกับการพิพากษาของพระเจ้าในเรื่องความทุกข์ทรมานและการเนรเทศ (อ่าน มีคาห์ 1-3)

 

แต่ในบทที่ 4 เนื้อหาของหนังสือเปลี่ยนไปกะทันหัน และมิคาห์ก็ฝากสิ่งที่เราเรียกว่า "การรอคอย" ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปในคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เหล่านี้เป็นวลีที่กระตุ้นให้อิสราเอลซื่อสัตย์แม้เมื่อความหวังดูสิ้นหวัง ในข้อแรกของข้อพระคำตอนนี้ คำว่า ในบั้นปลาย คือ “มันจะเกิดขึ้น”  พระเจ้าขอให้อิสราเอลไม่เพียงแต่ให้รอเท่านั้น แต่ให้รอด้วยศรัทธา และมีความหวัง มีคาห์ประนีประนอมความหวังนี้กับความเป็นจริงได้อย่างไร?

 

จากจุดนั้น หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาที่มีความหวังมากขึ้นเมื่อพระเจ้าแสดงให้มิคาห์เห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง: องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกู้และฟื้นฟู ประเทศชาติ โดยประทานสันติภาพและการเยียวยา นอกจากนี้ พระองค์ทรงสัญญาว่าพระเมสสิยาห์จะมาปรากฏ กษัตริย์ผู้เลี้ยงแกะผู้ “จะลุกขึ้นและดูแลฝูงแกะของพระองค์ด้วยกำลังขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (มีคาห์ 5:4)

 

คำพูดของมีคาห์ในหนังสือบทสุดท้ายได้กล่าวถึงท่าทีอธิษฐานของเขา: “ข้าพเจ้าจะมุ่งหวังในองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ารอคอยพระเจ้าพระผู้ช่วยของข้าพเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าจะทรงสดับฟังข้าพเจ้า” (มีคาห์ 7:7) การเฝ้าดูพระเจ้า มองดูพระองค์ผู้เดียว และคาดหวังให้พระองค์ฟังเราเป็นท่าทีที่ถูกต้องเมื่อสิ่งต่างๆ ในชีวิตดูมืดมน

 

เราสนับสนุน และท้าทายคุณ ที่จะแสวงหาความใกล้ชิดกับพระเจ้าในทุกๆวัน

 

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

 ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

   intouch.org

 

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot

 


ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7

  ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7   จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และ...