วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2566

การแบ่งปันข่าวประเสริฐ

 


การแบ่งปันข่าวประเสริฐ

การแบ่งปันข่าวประเสริฐเป็นสิ่งที่คุณสามารถทำได้ในทุกวัน  ขอเพียงแค่คุณมีเมตตาต่อคนรอบข้างและคนในชุมชนของคุณ

 

เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการข้อคิดฝ่ายวิญญาณนี้ ให้คุณเผื่อเวลาไว้อ่านพระคัมภีร์ที่อ้างถึงตลอดด้วยนะคะ

 

หลังจากการฟื้นคืนพระชนม์ พระเยซูตรัสถามเปโตรถึงสามครั้งว่ารักพระองค์หรือไม่ และทุกครั้งที่สาวกตอบว่าใช่ พระเจ้าทรงตรัสให้ดูแลแกะของพระองค์ (อ่าน ยอห์น 21:15-17) และเช่นเดียวกับเปโตร เราถูกเรียกให้ดูแลซึ่งกันและกัน รักคริสตจักร จงไปตามถนนหนทางในชนบท และระดมพวกเขามาให้เต็มบ้านของเรา เพื่อสะท้อนถึงความรักของพระคริสต์ (อ่าน ลูกา 14:23)

 

เราสามารถผูกมิตรกับผู้ที่ไม่เชื่อในที่ทำงาน ในโรงเรียน ในชุมชน เราสามารถสละเวลาและความสามารถของเราไปทำประโยชน์ให้กับองค์กรศาสนาและการกุศลต่างๆได้ หรือแม้แต่การกล่าวคำทักทายพูดคุยกันกับคนอื่นๆในขณะที่รอคิวทำธุระต่างๆในชีวิตของเรา ด้วยการกระทำในสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ อย่างสม่ำเสมอ ก็นับว่าเป็นการทำความดีเพื่อนำเกียรติมาสู่ พระเจ้าของเราได้แล้วเช่นกัน.

 

พันธกิจของเราคือเข้าร่วมในนิมิตของพระคริสต์ และในฐานะที่พระเจ้าทรงเทความรักของพระองค์มายังเรา ให้เรายกระดับ มีส่วนร่วม และให้การสนับสนุนกับผู้คนที่เราพบ  แล้วคอยช่วยเหลือแก่ผู้ที่ต้องการมัน ให้เราขอบคุณพระเจ้าที่ให้เราได้มีโอกาสมากมายที่จะได้แบ่งปันข่าวสารแห่งความรักของพระองค์ และส่งต่อไปยังผู้อื่นได้ในทุกๆวัน

 

ไตร่ตรอง

• ให้คุณคิดถึงพระบัญชาของพระคริสต์ที่บอกให้ “รักเพื่อนบ้าน”   และสร้างสาวก” (อ่าน มัทธิว 22:34-40; มัทธิว 28:18-20) คุณคิดว่าสิ่งเหล่านี้ทำงานร่วมกันและเพิ่มคุณค่าได้อย่างไรบ้าง

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

 intouch.org

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


อาหารค่ำมื้อสุดท้าย

 


อาหารค่ำมื้อสุดท้าย

ขณะรับประทานอาหารพระเยซูทรงหยิบขนมปัง ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วหักส่งให้เหล่าสาวกและตรัสว่า “จงรับไปรับประทานเถิด นี่เป็นกายของเรา”

มัทธิว 26:26

  

พระ​เยซู​ฉลอง​อาหาร​มื้อ​สุด​ท้าย​ตาม​พิธี​กับ​เหล่า​สาวก เราเรียกมันว่ากระยาหารค่ำมื้อสุดท้าย ที่โต๊ะกับพวกเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอบพระคุณ แล้วทรงหักส่งให้เหล่าสาวกตรัสว่า “จงรับไปรับประทานเถิด นี่เป็นกายของเรา” พระองค์จึงทรงหยิบถ้วย ขอบพระคุณ แล้วส่งให้เหล่าสาวกตรัสว่า “ท่านทุกคนจงรับไปดื่มเถิด  นี่คือโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาซึ่งหลั่งรินเพื่ออภัยโทษบาปแก่คนเป็นอันมาก  เราบอกท่านว่าเราจะไม่ดื่มน้ำจากผลองุ่นนี้อีกตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะถึงวันนั้นที่เราดื่มร่วมกับท่านใหม่ในอาณาจักรของพระบิดาของเรา”

 

ในคริสตจักร เราเฉลิมฉลองมื้ออาหารตามพันธสัญญาใหม่นี้โดยหักขนมปังและดื่มเหล้าองุ่น  ร่วมกันเพื่อระลึกถึงพระเยซู เราเรียกว่าอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเจ้า อาหารมื้อนี้ใช้แทนเทศกาลปัสกาของชาวยิว ไม่จำเป็นต้องนำลูกแกะมาที่แท่นบูชาอีกต่อไป เพราะพระคริสต์ทรงเป็นพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้เสียสละครั้งเดียวเพื่อทุกคน ผู้ทรงรับเอาบาปของโลกไป ไม่จำเป็นต้องเอาเลือดลูกแกะมาประพรมที่วงกบประตูอีกต่อไป เพราะโดยความเชื่อ เราได้รับประโยชน์จากพระโลหิตของพระคริสต์ ซึ่งชำระเราจากบาปทั้งหมด

 

พระคริสต์ทรงเป็นลูกแกะปัสกาของเรา ปฐมบรรพบุรุษและผู้เผยพระวจนะชี้ให้เราเห็นว่า พระองค์เป็นความหวังของบรรพบุรุษฝ่ายวิญญาณของเราและเนื้อหาของการเทศนาของอัครสาวก พระคริสต์ทรงเป็นพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ปราศจากมลทิน เป็นอาหารแห่งชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ ด้วยพระวรกายและพระโลหิตของพระองค์ พระองค์ทรงปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งหมดของกฎของพระเจ้า เพื่อปลดปล่อยเราจากการเป็นทาสและกดขี่ของบาปและความตายตลอดไป!

 

ลูกแกะของพระเจ้า ในพระองค์ ข้าพระองค์พบการปลดปล่อย ความรอด การเข้าสู่ชีวิตใหม่ ที่สมบูรณ์แบบและฟรี! พระองค์คู่ควรกับการสรรเสริญในทุกๆวันของชีวิต  อาเมน

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

 todaydevotional.com

 ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2566

อธิษฐานตามพระสัญญาของพระเจ้า

 


อธิษฐานตามพระสัญญาของพระเจ้า

เราสามารถสร้างชีวิตของเราบนรากฐานอันมั่นคงแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้

 

ต้นหญ้าเหี่ยวเฉาและดอกไม้ร่วงโรยไป

แต่พระวจนะของพระเจ้าของเรายืนยงนิรันดร์”

อิสยาห์ 40:8

 

พระเยซูบอกเราว่าเราจะเผชิญกับความยากลำบากในชีวิตนี้ (ยอห์น 16:33) แต่ด้วยพระคุณของพระองค์ พระองค์ทรงประทานเครื่องมืออันน่าทึ่งแก่เราเพื่อไม่ให้การทดลองครอบงำเราได้ ตัวอย่างเช่น พระองค์ทรงบรรจุพระวิญญาณของพระองค์ไว้ในผู้เชื่อแต่ละคนเพื่อชี้นำและเสริมกำลัง พระองค์ทรงประทานของประทานแห่งการอธิษฐานแก่เรา ไม่เพียงเพื่อสื่อสารและติดต่อกับพระองค์เท่านั้น แต่เรายังสามารถทูลทุกสิ่งที่อยู่ในใจของเราได้ด้วย

 

วันนี้เรามาเน้นที่ของประทานอีกอย่างหนึ่งของพระองค์ นั่นคือพระคัมภีร์ พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ มันคือความจริงและไม่เคยเปลี่ยนแปลง  โดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ของเราด้วย 


พระคัมภีร์ให้รากฐานที่มั่นคงสำหรับชีวิตและการตัดสินใจของเรา ซึ่งประกอบด้วยคำสัญญานับพันคำ มีคำรับรองนับไม่ถ้วนที่เราวางใจได้อย่างสมบูรณ์ และเรายังสามารถใช้พระสัญญาของพระเจ้ามาเป็นคำอธิษฐานได้

 

นี่คือตัวอย่าง สดุดี 32:8 กล่าวว่า “เราจะสอนและชี้แนะทางที่เจ้าควรเดินไป เราจะให้คำปรึกษาและเฝ้าดูเจ้า” เราสามารถใช้พระวจนะของพระเจ้าในการอธิษฐานแล้วทูลไปยังพระองค์ โดยบอกว่า "เราเชื่อว่าพระองค์จะทรงสอนเราและเปิดเผยเส้นทางของพระองค์ ในขณะที่ทรงอยู่เคียงข้างเรา"

 

พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อและไม่เปลี่ยนแปลง เราจึงวางใจในพระสัญญาของพระองค์ได้ ซึ่งทำให้เราสามารถพักผ่อนได้อย่างมั่นใจและแสดงออกไปอย่างกล้าหาญ

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

 intouch.org

 ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


ผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ

 


เราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม โดยความเชื่อ 

เหตุฉะนั้นเมื่อเราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้าโดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา

โรม 5:1

 

ความชอบธรรมคืองานที่ประเสริฐที่สุดของความรักของพระเป็นเจ้า เป็นการกระทำที่เปี่ยมด้วยความเมตตาและแบบให้เปล่าของพระเป็นเจ้าที่ลบล้างบาปของเรา ทำให้เราชอบธรรมและเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ในการเป็นอยู่ทั้งครบของเรา มาสู่เราโดยทางพระหรรษทานของพระจิตเจ้า ซึ่งเราได้รับจากบุญบารมีของพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้า ความชอบธรรมเริ่มจากการตอบรับที่เป็นอิสระของมนุษย์  คือความเชื่อในพระคริสตเจ้า และความร่วมมือกับพระหรรษทานของพระจิตเจ้า

 

นักบุญเปาโลสอนความจริงที่สำคัญสี่ประการเกี่ยวกับความชอบธรรมในโรม 5:1 ประการแรก พระเจ้าเป็นผู้กำหนดความชอบธรรม เราไม่ได้เป็นคนชอบธรรมโดยพื้นฐานความดีของเรา แต่เป็นเพราะคุณความดีของพระคริสต์

 

ประการที่สอง เราได้รับการชำระให้ชอบธรรมโดยความเชื่อ ด้วยวิธีนี้ความเชื่อจะเป็นเครื่องมือในการพิสูจน์ของเรา

 

ประการที่สาม ผลของความชอบธรรมคือการที่เรามีสันติสุขกับพระเจ้า เราคืนดีกับพระเจ้าและเกิดใหม่ในครอบครัวของพระเจ้า

 

ประการที่สี่ ตัวแทนของความชอบธรรมคือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พรฝ่ายวิญญาณทั้งหมดนี้มอบให้เราผ่านพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา คือพระเยซูคริสต์

 

พระคริสต์ทรงเป็นความชอบธรรมของเรา พระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา ในพระองค์เราได้รับการไถ่อย่างมากมาย

 

ข้าแต่พระเจ้า การวางใจในความชอบธรรมของพระคริสต์ ทำให้ใจของลูกมีสันติสุขและความชื่นชมยินดี ความรอดของลูกไม่ได้ขึ้นอยู่กับความดีที่ลูกทำแต่ขึ้นอยู่กับพระคุณของพระองค์ ในนามของพระเยซู อาเมน

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

 todaydevotional.com

 kamsonbkk.com

 ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


วันศุกร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2566

ความเชื่อแบบเด็กเล็กๆ

 


ความเชื่อแบบเด็กเล็กๆ

พระเจ้าทรงต้องการให้เราวางใจพระองค์แม้ในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ

 

พระเยซูกับเด็กเล็กๆ

13ประชาชนพาเด็กเล็กๆ มาให้พระเยซูทรงแตะต้องแต่เหล่าสาวกตำหนิพวกเขา 14เมื่อพระเยซูทรงเห็นก็ไม่พอพระทัยจึงตรัสกับพวกเขาว่า “จงให้เด็กเล็กๆ มาหาเรา อย่าขัดขวางเขาเลย เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เป็นเหมือนเด็กๆ เหล่านี้ 15เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ใดไม่รับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ ผู้นั้นจะไม่มีวันได้เข้าในอาณาจักรของพระเจ้าเลย” 16แล้วพระองค์ทรงอุ้มเด็กๆ ทรงวางพระหัตถ์บนพวกเขาและอวยพร

- มาระโก 10:13-16

 

เราไม่สามารถเลือกความรอดได้ด้วยตัวเราเอง อันดับแรก พระวิญญาณของพระเจ้าทำให้เรารู้ว่าเราต้องการพระองค์โดยสะกิดใจของเรา นั่นคือพระองค์ทรงเรียกความสนใจของเราและเปิดเผยบาปของเราและความต้องการพระผู้ช่วยให้รอด ให้กับเรา

 

คุณอาจสงสัยว่า ถ้าเช่นนั้น เด็กเล็กจะเข้าใจข่าวประเสริฐได้อย่างไร โชคดีที่พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาผู้อ่อนโยนที่ทรงยินดีพบเราในที่ที่เราอยู่ ไม่ว่าเราจะอายุเท่าใดก็ตาม แม้ในหัวใจที่อายุน้อยที่สุด พระองค์ก็สามารถแสดงความปรารถนาที่จะเชื่อฟังและติดตามพระองค์ได้ จากนั้นเมื่อเด็ก ๆ ได้เรียนรู้จากที่บ้านหรือที่โบสถ์ พระเจ้าก็จะประทานความปรารถนาและความต้องการพระเยซูแก่พวกเขา เป็นความปรารถนาที่เรียบง่ายโดยปราศจากความเข้าใจที่ลึกซึ้งและซับซ้อนกว่าของผู้ใหญ่ เด็กเล็กๆ อาจไม่สามารถเข้าใจทุกสิ่งที่พระเยซูจ่ายให้เราบนไม้กางเขนได้ แต่ในมาระโก 10:14 พระเยซูตรัสว่า “จงยอมให้เด็กมาหาเรา … เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนเช่นนี้”

 

ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าก็ควรจะเป็นไปในลักษณะเดียวกันนี้  หากเราปรารถนาจะเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์เราต้องไว้ใจหรือวางใจในพระองค์จนหมดใจเหมือนเด็กเล็กๆ  ที่วางใจพ่อแม่ของตน  เราต้องให้พระเจ้าเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเรา ความศรัทธาที่เรียบง่ายแบบเด็กๆถือเป็นของขวัญอย่างแท้จริง!

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

  intouch.org

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


ไม่กราบไหว้รูปเคารพ ไม่เชื่อคำทำนาย(การดูดวง)

 


จงสัตย์ซื่อ และยำเกรงพระเจ้า
ประชาชนของพระเจ้าต้องเอาใจใส่ในพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว



ไม่กราบไหว้รูปเคารพ ไม่เชื่อคำทำนาย(การดูดวง) เพราะพระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ พระองค์เป็นผู้สร้างและเป็นผู้กำหนด ใครที่วางใจในพระเจ้าจะพบสันติสุข พระเยซูทรงรับเอาความบาปและความโชคร้ายของเราไปแล้ว


ควรไหมที่คริสตชนจะกราบไหว้รูปเคารพ?

4“ ‘อย่าหันไปหาหรือกราบไหว้รูปเคารพ หรือหล่อโลหะเป็นพระสำหรับเจ้า เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
-เลวีนิติ19:4


เมื่อมีการถามว่าอะไรคือข้อบัญญัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พระเยซูตอบว่า "จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่าน ด้วยสุดจิตของท่านและด้วยสุดความคิดของท่าน"        (อ่านมัทธิว 22:37) เมื่อเรารักองค์พระผู้เป็นเจ้าและรักผู้อื่นด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในเรา มันจะไม่มีที่ว่างในหัวใจของเราสำหรับรูปเคารพอื่นและคำทำนายใดอีกเลย

เมื่ออุปกรณ์เสริมศรัทธากลายเป็นเป้าหมายของการแสวงหาและบูชา ในโลกใบนี้ รวมถึงพระเท็จเทียมที่คนนิยมบูชากันมากที่สุด คือ “เงินตราและความมั่งคั่ง แต่ถ้าเราเข้าถึงสัจธรรมแห่งชีวิต ธรรมชาติที่งดงาม เรียบง่าย ความดี ความจริง ความรัก ที่เป็นของจริงและดีที่สุดที่เราสามารถพบได้ในพระเจ้าและในชีวิตของมนุษย์ทุกคน เราจะเข้าใจว่าแท้จริงแล้วมันไม่เกี่ยวกับวัตถุเลย คนที่เข้าถึงแก่นธรรมของศาสนาจะเข้าถึงแก่นธรรมของความงดงามของมนุษย์ หัวใจ น้ำใจ และความงามธรรมชาติที่พระเจ้าประทานมาให้ แล้วเราจะมีความสุขกับความงามแท้จริง 


• พี่น้องที่รัก ของแท้คือชีวิตคือศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ คือความความคิด สติปัญญา ปรีชาญาณ และร่างกายที่พระเจ้าประทานมาให้อย่างงดงาม เหมาะสม


พี่น้องที่รัก วันนี้ เรากำลัง บูชาอะไรอยู่ พระเจ้าเที่ยงแท้ หรือพระเท็จเทียม ?
• เราจะสรรเสริญกันที่ความเป็นมนุษย์ของแต่ละคนหรือเราจะสรรเสริญกันที่เครื่องใช้และเครื่องประดับกันเล่า...
• จะเอาหัวใจของเราจดจ่ออยู่ที่ราคาทองคำเพรชพลอย-บนรูปปั้นรูปเคารพ หรือ จะเอาหัวใจฝากไว้กับตัวเลขบนกระดานหุ้นที่ขึ้นๆลงๆ .
• หรือว่า...เราจะเอาหัวใจจดจ่ออยู่ที่ชีวิตของ พี่น้อง เพื่อนบ้าน และเพื่อนมนุษย์ เพื่อรักและ เพื่อเอาใจใส่ และเพื่อสรรเสริญพระเจ้าร่วมกัน...


ควรไหมที่คริสตชนจะดูดวง?

ในพระคัมภีร์ได้ห้ามไว้อย่างชัดเจนเรื่องการทำนายโชคชะตา หมอดู และ hidden arts (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:10 — 14) ประชาชนของพระเจ้าต้องเอาใจใส่ในพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15) แหล่งข้อมูลอื่นๆ จากการแนะนำ ข้อมูลหรือการเปิดเผย ต้องถูกปฏิเสธอย่างสมบูรณ์ (อ่านกิจการ 16:16 — 18) พระคัมภีร์ได้ชี้ชัดไปที่พระเยซูคริสต์ ว่าเป็นเพียงผู้เดียวที่เหมาะสมที่จะทำให้เรามุ่งไปยังความเชื่อได้ (กิจการ 4:12, ฮีบรู 12:2) ความไว้ใจของเราอยู่ในพระเจ้าเพียงผู้เดียวและเรารู้ว่าพระองค์จะทรงนำทางเรา (อ่านสุภาษิต 3:5 — 6) เพราะความเชื่อในสิ่งอื่นใดนอกจากพระเจ้านั้นคือผิด


โหราศาสตร์นั้นต่อต้านคำสอนของพระคัมภีร์อย่างน้อยสองทางคือสนับสนุนให้มีความเชื่อ ในสิ่งอื่นนอกเหนือจากพระเจ้าและเป็นรูปแบบของการทำนายโชคชะตา เราไม่สามารถกำหนดน้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีสำหรับชีวิตของเราผ่านการดูดวง ในฐานะที่เป็นคริสตชนพวกเราจำเป็นต้องอ่านพระคัมภีร์และอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อที่จะได้รับสติปัญญาและคำแนะนำ การรับคำปรึกษาจากการดูดวงคือการฝ่าฝืนวิธีการสื่อสารของพระเจ้ากับลูกของพระองค์ เราเชื่ออย่างหนักแน่นว่าคริสตชนควรที่จะปฏิเสธการดูดวง


ขอบคุณทุกแหล่งที่มาของข้อมูล

gotquestions

thaicatholicbible

วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2566

จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า

 


จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า

การถวายการสรรเสริญแด่พระเจ้าในสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำนำเราไปสู่สันติสุขและความชื่นชมยินดี

 

อ่านสดุดี 150:1-6

1จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า

จงสรรเสริญพระเจ้าในสถานนมัสการของพระองค์

จงสรรเสริญพระองค์ในฟ้าสวรรค์อันเกรียงไกรของพระองค์

2จงสรรเสริญพระเจ้าเนื่องด้วยพระราชกิจอันทรงเดชานุภาพ

จงสรรเสริญพระองค์เพราะความยิ่งใหญ่อันหาที่เปรียบมิได้

3จงสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงแตรดังก้อง

จงสรรเสริญพระองค์ด้วยพิณใหญ่และพิณเขาคู่

4จงสรรเสริญพระองค์ด้วยรำมะนาและการเต้นรำ

จงสรรเสริญพระองค์ด้วยเครื่องสายและปี่

5จงสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงฉิ่งเสียงฉาบ

จงสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงฉิ่งฉาบอันกังวาน

6ให้ทุกสิ่งที่มีลมหายใจ สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า

จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า

 

เมื่อวานนี้ เราได้รู้ถึงวิธีที่พระเจ้ามองเรา แล้ว เราจะตอบสนองความรักนั้นอย่างไรดี?  อิสยาห์ 43:21 กล่าวว่า “ประชากรที่เราได้ปั้นไว้สำหรับเรา เพื่อพวกเขาจะประกาศเกียรติภูมิของเรา ส่วนสำคัญของการนมัสการพระเจ้าคือการประกาศความยิ่งใหญ่ของพระองค์

 

วิธีหนึ่งที่เราทำได้คือขอบคุณพระองค์สำหรับสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและสิ่งที่พระองค์ทรงทำ เมื่อเรารักใครสักคน การตอบสนองที่เป็นธรรมชาติที่สุดคือการพูดยกย่องเขา ในทำนองเดียวกัน พวกเราที่รักพระคริสต์พบว่าการแสดงความขอบคุณมักออกมาจากริมฝีปากของเราได้อย่างง่ายดาย การสรรเสริญจะช่วยดึงสายตาของเราไปที่พระผู้ช่วยให้รอดและทำให้ใจเราเต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ เพราะเราไม่ได้จดจ่ออยู่กับความต้องการและปัญหาส่วนตัวเท่านั้น

 

แม้ว่าการสรรเสริญและการนมัสการมักเกี่ยวข้องกับการรับใช้ในคริสตจักร แต่สิ่งเหล่านี้ควรเป็นตัวบ่งบอกลักษณะของเรา ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน การมีประสบการณ์การนมัสการที่ใกล้ชิดนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาที่เราได้อยู่ตามลำพังกับพระเจ้า จงทูลขอให้พระเจ้าสอนให้คุณสรรเสริญพระองค์สุดใจ จำไว้ว่าพระองค์ทรงห่วงใยคุณอย่างไร และพยายามมองหาหลักฐานประจำวันเกี่ยวกับพระหัตถ์ของพระองค์ที่มีต่อชีวิตคุณ แล้วขอบพระคุณในความยิ่งใหญ่ของพระองค์

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

 intouch.org

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot

 


ความวุ่นวายในเมืองโครินธ์

 


เรื่องโง่ๆ สำหรับพวกต่างชาติ

21โดยพระปัญญาของพระเจ้า โลกไม่อาจรู้จักพระเจ้าด้วยสติปัญญาของตน ดังนั้นพระเจ้าจึงพอพระทัยที่จะช่วยบรรดาผู้เชื่อให้รอดโดยคำเทศนาเรื่องโง่ๆ 22พวกยิวเรียกร้องหมายสำคัญ และพวกกรีกมองหาสติปัญญา 23แต่เราเทศนาเรื่องพระคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงตายบนไม้กางเขน ซึ่งเป็นหินสะดุดสำหรับพวกยิวและเป็นเรื่องโง่ๆ สำหรับพวกต่างชาติ— 1 โครินธ์ 1:21-23

 

อัครสาวกเปาโลกำลังเขียนถึงเพื่อนคริสเตียนในเมืองโครินธ์ เมืองโครินธ์เป็นทั้งศูนย์กลางใหญ่ของวัฒนธรรมกรีกที่ดึงดูดปรัชญาและศาสนาทุกประเภทมารวมกันและเป็นเมืองที่มีความเสื่อมทางศีลธรรม ดังนั้นสภาพแวดล้อมเช่นนี้ย่อมมีผลต่อการดำเนินชีวิตของคริสตชนชาวโครินธ์ เปาโลจึงได้เขียนจดหมายถึงพี่น้องคริสเตียนเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ

 

อัครสาวกเปาโลต้องการให้คริสเตียนในเมืองโครินธ์ทราบว่า ข่าวประเสริฐเป็นหลักที่ คริสเตียนควรยึดมั่นมากกว่าเรื่องอื่นที่กำลังเป็นปัญหาทุ่มเถียงกัน เนื่องจากอัครสาวกเปาโลทราบมาว่า คริสเตียนในเมืองโครินธ์เกิดการแตกแยก มีการแบ่งเป็นกลุ่มคริสเตียนยิว กลุ่มคริสเตียนกรีก และกลุ่มอื่น ๆ อีก แม้ขณะที่ประชุมร่วมกันอยู่ในคริสตจักร การดำเนินการประชุมก็ไม่เป็นระเบียบ บางคนจะร้องเพลงสดุดี บางคนจะมีคำสั่งสอน พวกยิวเรียกร้องหมายสำคัญ และพวกกรีกมองหาสติปัญญา เป็นต้น อัครสาวกเปาโลจึงเขียนถึงคริสเตียนในเมืองโครินธ์ว่า "บัดนี้ ข้าพเจ้าต้องการเตือนพี่น้องทั้งหลายถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ท่าน ซึ่งท่านก็ได้รับและยืนหยัดอยู่ได้   หากว่าท่านยึดมั่นในสิ่งที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ท่าน ท่านก็จะมีชีวิตรอดพ้นเพราะข่าวประเสริฐนี้ มิฉะนั้นความเชื่อของท่านจะไร้ประโยชน์ อัครสาวกเปาโลต้องการให้เกิดความสามัคคี เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในหมู่คริสเตียน โดยเปรียบเทียบว่า "ถ้าอวัยวะอันหนึ่งเจ็บ อวัยวะทั้งหมดก็พลอยเจ็บด้วย ถ้าอวัยวะอันหนึ่งได้รับเกียรติอวัยวะทั้งหมดก็พลอยชื่นชมยินดีด้วย”

 

แม้ว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ในพระธรรม 1 โครินธ์ เป็นเรื่องของความวุ่นวายที่เกิดขึ้น และแนวทางสำหรับแก้ปัญหาเหล่านั้นก็ตาม ในพระธรรมเล่มนี้ก็ยังมีบางบทที่มีความงดงามแทรกอยู่ เช่น การเน้นถึงความสำคัญของความรัก “แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ และเข้าใจในความล้ำลึกทั้งปวงและมีความรู้ทั้งสิ้น และมีความเชื่อมากยิ่งที่สุดพอจะยกภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย” เป็นการบรรยายถึงลักษณะของความรักที่แท้จริง

 

ชาวยิวหลายคนคิดว่าพระเมสสิยาห์ของพวกเขาควรเป็นกษัตริย์นักรบผู้ยิ่งใหญ่ที่จะมาปลดปล่อยพวกเขาจากการปกครองแบบเผด็จการของกรุงโรม ดังนั้น สำหรับพวกเขาแล้ว มันเป็นเรื่องน่าอายเมื่อต้องนึกถึงบุคคลนี้ที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน

 

เปาโลไม่ได้รู้สึกกลัวต่ออคติและปฏิกิริยาสุดโต่งเหล่านี้ เขายังคงประกาศข่าวเรื่องของไม้กางเขน เพราะไม่มีข่าวประเสริฐอื่นใดที่เขาจะประกาศ นอกจากข่าวสารของพระคริสต์ผู้ถูกตรึงกางเขนสำหรับทุกคนที่เชื่อในพระองค์

 

ไม่มีข่าวดีใดยิ่งใหญ่ไปกว่าข่าวดีของพระคริสต์สำหรับคนบาป โดยการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเท่านั้นที่ทำให้เรามีชีวิต โดยพระโลหิตของพระองค์เราจึงได้รับการให้อภัยและการไถ่บาป พระเจ้าพอพระทัยที่จะช่วยคนบาป หลายคนฟังแล้วบอกว่าเป็นเรื่องโง่เขลา แต่ความโง่เขลานี้ฉลาดกว่าปัญญาของโลก กางเขนของพระคริสต์อาจถูกปฏิเสธโดยผู้ที่ไม่เชื่อ แต่สำหรับเราที่เชื่อ มันคือ “ฤทธานุภาพของพระเจ้าและพระปัญญาของพระเจ้า”

 

ข้าแต่พระบิดา  พระราชกิจที่สำเร็จแล้วของพระเยซูเผยให้เห็นถึงพลังและสติปัญญาของพระองค์ ลูกขอบพระคุณที่ทำให้ลูกมีความเชื่อในพระเยซู ผู้ถูกตรึงกางเขนเพื่อลูกจะได้มีชีวิต ในนามของพระพระเยซู อาเมน


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

 todaydevotional.com

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot

 


วันพุธที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2566

พระเจ้ามองเราอย่างไร

 


พระเจ้ามองเราอย่างไร

เราเป็นที่รักและหวงแหนของผู้เป็นราชาแห่งราชาทั้งปวง

 

อ่าน1 เปโตร 2:9-10

9แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์ 10เมื่อก่อนท่านทั้งหลายไม่มีชาติ แต่บัดนี้ท่านเป็นชนชาติของพระเจ้าแล้ว เมื่อก่อนท่านทั้งหลายหาได้รับพระกรุณาไม่ แต่บัดนี้ท่านได้รับพระกรุณาแล้ว

 

คุณเคยสงสัยไหมว่าพระเจ้ามองคุณอย่างไร? บางทีการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอาจทำให้คุณเชื่อและรู้ว่าคนอื่นๆเขามองคุณอย่างไร แต่ในพระวจนะของพระเจ้า พระองค์ได้บอกเราอย่างชัดเจนว่าพระองค์รักและหวงแหนเรามากเพียงใด ข้อความวันนี้จะช่วยอธิบายถึงสี่วิธีที่พระองค์ทรงมองเรา:

 

1. คนที่ถูกเลือก พระเจ้าทรงเลือกคุณและฉันให้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรและครอบครัวของพระองค์เพราะพระองค์ทรงต้องการและรักเรา

 

2. ฐานะปุโรหิต ในฐานะผู้เชื่อ เราเป็นลูกของพระเจ้าและเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราเป็น “ทายาทของพระเจ้าและเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์” (โรม 8:17)

 

3. ประชาชาติบริสุทธิ์ คริสตจักรหรือพระกายของพระคริสต์ คือกลุ่มคนที่บริสุทธิ์ที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว—ซึ่งตามที่เราได้เรียนรู้เมื่อสองสามวันก่อน หมายถึง “ทรงแยกไว้” (ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์ ) ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ชีวิตเราไม่เคยไร้ความหมาย เพราะการมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าคือจุดประสงค์สูงสุดที่เราจะมีได้

 

4. ชนชาติในกรรมสิทธิ์ของพระองค์ คุณและฉันเป็นสมบัติล้ำค่าของพระเจ้า เราเป็นของพระองค์ (เฉลยธรรมบัญญัติ 14:2; ทิตัส 2:14) พระองค์เห็นคุณค่าของเราแต่ละคนมากจนส่งพระบุตรมาสิ้นพระชนม์แทนเรา

 

แต่ละคำอธิบายเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงเห็นคุณค่าของคุณมากเพียงใด ให้ความสำคัญกับการจดจำตัวตนที่แท้จริงของคุณและระลึกไว้เสมอว่าคุณเป็นคนที่พระองค์ทรงทะนุถนอม


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

  intouch.org

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot

 


จงชำระเชื้อเก่า

 


จงชำระเชื้อเก่า

จงชำระเชื้อเก่าเพื่อท่านจะได้เป็นแป้งดิบก้อนใหม่ไร้เชื้ออย่างที่ท่านเป็นอยู่จริงๆ เพราะพระคริสต์ผู้ทรงเป็นลูกแกะปัสกาของเราถูกถวายบูชาแล้ว

— 1 โครินธ์ 5:7

 

เทศกาลปัสกาของชาวยิวก่อตั้งขึ้นในคืนที่พระเจ้าทรงปลดปล่อยประชากรของพระองค์จากการเป็นทาสในอียิปต์ (อพยพ 12) สำหรับแต่ละครัวเรือน ลูกแกะที่ไม่มีตำหนิถูกฆ่า และเอาเลือดของมันประพรมที่วงกบประตู ในทำนองเดียวกัน พระคริสต์ พระเมษโปดกปัสกาของเราถูกปลงพระชนม์เพื่อไถ่บาปของเรา และด้วยวิธีนี้ พระเจ้าจึงทรงปลดปล่อยทุกคนที่เชื่อในพระองค์ให้พ้นจากการเป็นทาสและการกดขี่ข่มเหงของบาป

 

สำหรับเทศกาลปัสกา เชื้อทั้งหมดจะต้องถูกกำจัดออกจากบ้านทุกหลัง นี่เป็นสัญญาณของการชำระให้บริสุทธิ์ ยีสต์ที่ทำแป้งโดเป็นสัญลักษณ์ของความบาปที่แทรกซึมอยู่ในชีวิตของเราและปนเปื้อนเราตลอดเวลา เป็นการเตือนผู้คนว่าพวกเขาไม่สามารถมีส่วนร่วมในเทศกาลปัสกาด้วยจิตใจที่ไม่บริสุทธิ์และชีวิตที่มีมลทิน พวกเขาต้องทิ้งยีสต์เก่าเพราะกำลังเปลี่ยนรูปร่างเป็นแป้งไร้เชื้อชุดใหม่

 

ในฐานะผู้เชื่อในพระคริสต์ เราได้รับหัวใจใหม่ ความคิดใหม่ ชีวิตใหม่ เราเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหม่ เราเป็นคนของพระเจ้า ได้รับการเรียกให้เป็นแสงสว่างในโลก เราไม่สามารถเลียนแบบโลกหรือเป็นของโลก เราถูกเรียกให้เปลี่ยนแปลงเพื่ออาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า เราเป็นคนบริสุทธิ์ซึ่งถูกสร้างใหม่ในพระคริสต์ เรารอดจากบาปเพื่อดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์เพื่อเห็นแก่พระเยซู ดังนั้นเราต้องดำเนินชีวิตอย่างคู่ควรกับข่าวประเสริฐ โดยขึ้นอยู่กับฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะดำเนินชีวิตเพื่อพระเจ้า

 

พระเจ้าที่รัก ลูกขอบพระคุณที่ลูกสามารถมีชีวิตใหม่ในพระคริสต์ได้ ขอทรงสร้างลูกให้เป็นเหมือนพระเยซู และนำลูกให้ดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ติดตามพระองค์ทั้งวันนี้และตลอดไป  ในนามของพระเยซู อาเมน

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

 todaydevotional.com

 ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot

 


วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2566

อย่ากลัวความล้มเหลว

 




อย่ากลัวความล้มเหลว อย่าหลงไปกับกระแส

คุณไม่ต้องกลัวความล้มเหลวหากคุณวางใจและเชื่อฟังพระเจ้า

 

อ่านสดุดี 62:1-5

1จิตวิญญาณของข้าพเจ้าพักสงบในพระเจ้าแต่ผู้เดียว

ความรอดของข้าพเจ้ามาจากพระองค์

2พระองค์แต่เพียงผู้เดียวทรงเป็นศิลาและความรอดของข้าพเจ้า

พระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่มีวันหวั่นไหว

3พวกเจ้าจะรุมเล่นงานคนคนเดียวไปนานเท่าใด?

เจ้าทั้งหมดจะโค่นล้มเขา

ผู้เป็นเหมือนกำแพงเอียงกะเท่เร่และรั้วที่โยกเยกนี้หรือ?

4พวกเขาจงใจปลดเขาลงจากตำแหน่งสูง

พวกเขาชื่นชมในการโป้ปด

ปากของพวกเขากล่าวอวยพร

แต่ในใจนั้นสาปแช่ง

เสลาห์

5จิตวิญญาณของข้าเอ๋ย จงพักสงบในพระเจ้าแต่ผู้เดียว

ความหวังของข้าพเจ้ามาจากพระองค์

 

พระเจ้าตรัสกับเรา และเมื่อวานนี้เราได้เรียนรู้ว่าการฟังพระองค์นั้นมีความสำคัญเพียงใด แต่อย่างที่เราทราบกันดีว่าไม่ใช่แค่ฟังเสียงของพระองค์เพียงเสียงเดียว งั้นหมายความว่าเราควรฟังเสียงคนรอบข้างด้วยใช่ไหม? ใช่ แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงจากเพื่อนพี่น้องร่วมความเชื่อ และ ผู้คนที่พระเจ้าทรงวางพวกเขาไว้ในเส้นทางของเรา แต่ด้วยข่าวสารที่แข่งขันกันมากมายในโลกปัจจุบัน เราควรมุ่งที่จะฟังคำแนะนำจากพระคัมภีร์และฟังการกระตุ้นเตือนจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เหนือสิ่งอื่นใดจะดีที่สุด เราควรเชื่อฟังพระองค์ เพราะเมื่อเราทำเช่นนั้นได้อย่างดี ชีวิตของเราก็จะดูแตกต่างไปจากคนอื่น

 

บางครั้งความกลัวที่จะล้มเหลวอาจทำให้เราไม่ทำในสิ่งที่พระเจ้าต้องการ แต่สุดท้ายแล้ว เราต้องถามตัวเองว่าเราจะฟังพระองค์หรือโลก จำไว้ว่าคุณไม่ต้องกลัวความล้มเหลวเมื่อคุณเชื่อฟังพระเจ้า พระองค์ทรงเข้าแทรกแซงในช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก และพระองค์ทรงสัญญาว่าจะทำเพื่อผู้ที่รอคอยพระองค์ (อิสยาห์ 64:4)

 

ความแน่วแน่ที่เหลืออยู่เราต้องอาศัยความกล้าหาญ นั่นเป็นเหตุผลที่เปาโลกล่าวว่า “จงเข้มแข็งในองค์พระผู้เป็นเจ้า” (เอเฟซัส 6:10) แรงกดดันทั้งหมดในโลกจะไม่สามารถทำให้คุณสั่นสะเทือนได้หากคุณวางใจในศิลา(พระเจ้า)ที่คุณยืนอยู่  วันนี้คุณกำลังฟังพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์อยู่หรือเปล่า?

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

 intouch.org

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


เผชิญหน้ากับความอัปยศ

 


เผชิญหน้ากับความอัปยศ

และเมื่อทรงปรากฏเป็นมนุษย์

พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ลง

และยอมเชื่อฟังแม้ต้องตายบนไม้กางเขน!

ฟีลิปปี 2:8

 

การบังเกิดของพระบุตรของพระเจ้าเป็นหนึ่งในความลึกลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ มีพระเจ้าองค์เดียวที่ดำรงอยู่ในสามพระภาค คือ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งสามสิ่งนี้มีเนื้อแท้เดียวกัน หมายความว่าพระบุตรมีความเท่าเทียมกัน เป็นนิรันดร์ และเป็นเอกภาพกับพระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

แต่เพื่อให้การไถ่ของเราสำเร็จ พระบุตรทรงสละพระสิริของพระองค์และกลายเป็นมนุษย์ เมื่อถึงกำหนดพระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ เพื่อไถ่คนทั้งปวงซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตรอย่างสมบูรณ์ (ดูกาลาเทีย 4:4-5) ในฐานะพระเจ้า พระองค์กลายเป็นมนุษย์ ถือความยากจน พระองค์เป็นเจ้านายที่กลายเป็นคนรับใช้

 

“ผู้มีใจยากจนย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา” ในประเด็นนี้ พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงยกย่องความยากจนในความหมายตามตัวอักษร แต่พระองค์ทรงกล่าวถึงบุคคลที่ถูกริดรอนทรัพย์สินเงินทอง, อำนาจ, ชื่อเสียง และไม่ใส่ใจในสิ่งต่างๆ ที่สื่อถึงเป็นความสำเร็จฝ่ายโลก แต่มีความซื่อสัตย์ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า พวกเขารู้ว่าพวกเขาต้องไว้วางใจพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ในทุกเรื่อง พระเยซูเจ้าขอให้เรามีความยากจนในจิตใจแบบนั้นเหมือนกัน คือต้องมีความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว

 

พระบุตรของพระเจ้าเข้าสู่กาลเวลาและสวมเนื้อหนังมนุษย์ “พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ลงโดยยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา—กระทั่งสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน!” แม้จะเผชิญความทุกข์ยากสาหัสที่สุด พระองค์ก็ไม่ละทิ้งพระประสงค์ที่จะช่วยเรา แม้ว่าพระองค์จะถูกข่มเหง ทะเลาะวิวาท และถูกบดขยี้ด้วยความโกรธของคนบาป พระองค์ก็ทรงรักพวกเขาจนถึงที่สุด แม้ว่าพระองค์จะยอมสละชีวิตของตนด้วยการเชื่อฟังและยอมจำนนต่อความตาย แต่พระองค์ก็ทรงมีชัยเหนือความตายในการฟื้นคืนพระชนม์อันรุ่งโรจน์ของพระองค์

 

โดยผ่านความอัปยศอดสูอย่างที่สุด พระเยซูทรงได้รับการยกย่องให้ได้รับพระนามเหนือนามทั้งปวง  และเปิดทางให้เราไปสู่ชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้า

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

 todaydevotional.com

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ อ่านมัทธิว 8:1 ถึง 11:1 ​    25 และพวกสาวกมาปลุกพระองค์ ทูลว่า “องค์พร...