ชีวิตแห่งความเอื้ออาทร
เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่มีความแน่นอนทางการเงิน
ตลาดหุ้นกำลังดีดตัวขึ้นและลง ธนาคารหลายแห่งได้รับการควบรวมกิจการ
การขอสินเชื่อทำได้ยากขึ้น และผู้คนกำลังตกงาน ปัญหาทางเศรษฐกิจมีสาเหตุที่ซับซ้อน
สภาพเงินไม่คล่อง เดือนชนเดือน ชักหน้าไม่ถึงหลัง แต่หนึ่งในสาเหตุที่ใหญ่ที่สุดคือความโลภ
วันนี้ฉันอยากจะพูดถึงสิ่งที่ตรงข้ามกับความโลภ
นั่นคือความเอื้ออาทร ชีวิตของเราต้องมีลักษณะของความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งนั่นก็คือการไม่โลภ
ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนเช่นนี้
เราจึงต้องระมัดระวังอย่างมาก มีนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงจากศตวรรษที่ 18 มีคำแนะนำที่ดีสำหรับเราในวันนี้:
จงหารายได้เท่าที่ทำได้ และจงประหยัดเท่าที่ทำได้ นั่นคือจอห์น เวสลีย์
แต่เขาไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น
เขายังกล่าวอีกว่า จงเป็นผู้ให้ที่ให้ด้วยสุดความสามารถ
วันนี้ฉันต้องการพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งนั้น: จงให้ทั้งหมดที่คุณสามารถทำได้ ให้โดยที่ไม่นึกเสียดาย
แต่ความสำคัญของฉันในวันนี้จะไม่ได้อยู่ที่คำว่า
“ให้” แต่อยู่ที่คำว่า “สามารถ” ถ้าคุณให้อะไรไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณให้ได้ ก็ให้เท่าที่ทำได้
หากคุณไม่มีเงินก็ไม่เป็นไร แต่คุณควรให้ทุกอย่างเท่าที่ทำได้ หากคุณไม่มีเงิน คุณจะให้เงินไม่ได้ แต่คุณสามารถให้อย่างอื่นได้
และคุณยังสามารถให้มันได้ทั้งหมดที่คุณมีด้วย
คุณเห็นไหมว่าความเอื้ออาทรมีความหมายมากกว่าเงิน เป็นไปได้ที่จะมีบางคนที่สามารถให้เงินคนอื่นได้มากแต่ใจยังคับแคบ
และในทางกลับกันก็เป็นไปได้ที่คนๆ หนึ่งจะใจกว้างได้อย่างมากมายทั้งๆที่เขาไม่มีเงินเลย
พระเจ้าต้องการให้เราเป็นคนใจกว้าง แต่เราต้องขยายความเข้าใจของเราเกี่ยวกับความหมายนี้ให้ได้ก่อน
ตัวอย่างเช่น
ลองดูสิ่งที่เปโตรทำในกิจการ 3 ข้อ 6 เปโตรกับยอห์นกำลังไปพระวิหาร
และชายพิการคนหนึ่งขอเงินจากพวกเขา เปโตรตอบว่า “เงินหรือทองเราไม่มี
แต่สิ่งที่เรามีเราให้ท่านในพระนามพระเยซูคริสต์แห่งนาซาเร็ธ จงเดินเถิด” แล้วเปโตรให้อะไรกับชายคนนั้นหรือ? เปโตรให้สุขภาพที่ดีแก่เขา - เปโตรรักษาชายคนนั้นให้เดินได้
ให้ไปทำงาน และหาเงินใช้เองได้
แล้วไงละ! คุณอาจคิดว่า ฉันไม่ได้มีของประทานในการรักษาเหมือนกับเปโตรนี่! แล้วมันจะเกี่ยวอะไรกับฉัน คำตอบได้อยู่ในสิ่งที่เปโตรกล่าวไว้
คือ สิ่งใดที่เรามี เราจะให้แก่ท่าน
คุณอาจจะไม่มีเงิน และคุณอาจไม่มีของประทานในการรักษา
แต่คุณมีบางอย่างที่คุณสามารถมอบให้คนอื่นได้แน่นอน เพราะพระเจ้ามอบให้เราแต่ละคนด้วยของประทานที่แตกต่างกัน
คุณอาจมีของประทานแห่งความเห็นอกเห็นใจ
ห่วงใยผู้อื่นอย่างแท้จริง ถ้าเป็นเช่นนั้นคุณก็สามารถเป็นผู้ให้ได้
คุณอาจมีพรสวรรค์ด้านเวลา บางทีคุณอาจไม่ได้ทำงานประจำ และคุณก็มีเวลา คุณจึงสามารถให้เวลากับคนอื่นได้ บางทีคุณอาจมีความสุขเพิ่มขึ้นที่ได้แบ่งปันเวลาของคุณกับผู้ที่ต้องการมันจากคุณ
บางทีคุณอาจมีความอดทนอดกลั้นที่คุณสามารถมอบให้ผู้คนได้เมื่อพวกเขาต้องการมันมากที่สุด
บางทีคุณอาจให้ความเคารพแก่คนที่ต้องการมัน หรือคุณอาจให้ความเมตตาแก่คนที่ต้องการมันอยู่ก็ได้
เช่น บางทีคุณอาจจะสละสิทธิ์ในการแก้แค้น และให้อภัยเขาแทน
บางทีคุณอาจมีทักษะเฉพาะหรือที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ คุณก็สามารถเป็นผู้ให้ได้เช่นกัน
คุณสามารถเป็นแหล่งความรู้ แหล่งคำพูด หรือแหล่งงาน คุณสามารถเป็นคนใจกว้างได้แม้ว่าคุณจะไม่มีเงินเลยก็ตาม
บางครั้งที่เราพูดถึงเรื่องของการใช้เวลา
พรสวรรค์ และสมบัติ เราสามารถเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สิ่งเหล่านั้นให้กับผู้อื่นได้ก็จริง
แต่ก็ยังมีอีกหลายวิธีในการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
เช่น เราสามารถตัดสินคนอื่นได้อย่างใจกว้าง นั่นคือ การรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรานั่นเอง
เราสามารถละทิ้งความเกลียดชัง เราสามารถมอบของขวัญแห่งมิตรภาพ
เราสามารถเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในการยกย่องผู้อื่น
เราสามารถให้คำอธิษฐานพิเศษแก่พวกเขา เราสามารถให้ความหวังเพิ่มเติมแก่พวกเขา
เราสามารถให้ข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์แก่พวกเขา
ฉันไม่ได้ขอให้คุณให้สิ่งที่คุณไม่มี
- ฉันขอให้คุณให้ในสิ่งที่คุณมี
และฉันอยากจะชี้ให้เห็นว่าบางครั้งเราอาจจะให้มากเกินไป เช่น ในหนึ่งวัน ถ้าเราให้สิบชั่วโมงนั้นแก่คนหนึ่งคน เราก็ไม่สามารถให้สิบชั่วโมงเดียวกันนั้นแก่คนอื่นได้
ทุกครั้งที่เราตอบว่าได้กับคนคนหนึ่ง
เรากำลังบอกว่าไม่ได้กับอีกคนหนึ่ง
เช่นกัน
ดังนั้นฉันไม่ได้จะมาพูดเพื่อให้คุณรู้สึกผิดหรือบอกให้คุณต้องให้เวลามากกว่าที่คุณจะให้ได้จริงๆ
เหมือนกับที่เวสลีย์ได้พูดไว้ จงให้อย่างเต็มที่
แต่อย่าให้มากเกินกว่าที่คุณจะทำได้ คุณต้องตัดสินตามสถานการณ์ของคุณ
เพื่อดูว่าคุณสามารถให้ได้มากน้อยแค่ไหน
ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่การให้
แต่อยู่ที่ว่าเราทุกคนสามารถเป็นผู้ให้ได้ และคุณจะเป็นคนใจกว้างถ้าคุณให้สิ่งที่คุณทำได้ คุณคือผู้ตัดสินว่าจะให้มากหรือน้อยขนาดไหน
และคุณคือผู้ตัดสินว่ามันคืออะไรที่คุณจะสามารถให้แก่คนอื่นได้ คุณไม่สามารถแก้ไขทุกปัญหาในโลกนี้ได้ทั้งหมด ดังนั้นคุณต้องตัดสินว่ามีอะไรบ้างที่จะช่วยได้
หรือมีเรื่องไหนที่คุณควรจะผ่านมันไป เราทุกคนต่างสามารถรับใช้กันและกันได้ในลักษณะที่แตกต่างกันไป
หากคุณติดผ้าพันแผลให้เขาในเวลาที่คนเขาต้องการอาหาร
แสดงว่าคุณไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลยใช่ไหม? นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจะต้องอธิษฐาน เราทุกคนจำเป็นต้องอธิษฐานขอสติปัญญาจากพระเจ้าเพื่อให้เรารู้วิธีในการการช่วยเหลือผู้อื่น
– ทูลขอปัญญาเพื่อให้รู้ว่าเราจะเป็นผู้ให้ได้ด้วยวิธีไหนจึงจะเหมาะสมที่สุด - ทูลขอความกล้าหาญที่จะรับใช้ผู้อื่น และโอกาสในการแสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น
เราลองมาดูอีกหนึ่งตัวอย่างของความเอื้ออาทร และนี่ก็คือการเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบที่สุด: พระเยซูคริสต์
พระองค์ไม่ได้ทรงแก้ปัญหาของโลกนี้ด้วยการประทานเงินจำนวนมากขึ้นแก่เราทุกคน พระองค์สามารถมีเงินได้ทั้งหมดในโลกถ้าพระองค์ต้องการ
แต่พระองค์มีสติปัญญาที่รู้ว่าเราต้องการอย่างอื่นมากกว่านั้น ปัญหาของเราจึงไม่ใช่ความยากจน
แต่เป็นความตกต่ำ เราตกอยู่ในเงื้อมมือของบาป และเราต้องได้รับการปลดปล่อย พระเยซูจึงสละทรัพย์สมบัติและสถานะอันสูงส่งและกลายมาเป็นมนุษย์ธรรมดา
ในการทำเช่นนี้พระองค์ให้เวลากับเรา
พระองค์ทำให้เรามีความอดทน พระองค์ประทานความเมตตาแก่เรา
พระองค์ประทานความชอบธรรมของพระองค์แก่เรา พระองค์ทำให้เรามีความสัมพันธ์กับพระบิดา
พระองค์ให้ชีวิตแก่เรา อะไรที่พระองค์ทรงมีอยู่ พระองค์ก็ให้เรา พระองค์ทำมันอย่างไม่เห็นแก่ตัว ชีวิตที่เอื้ออาทรจึงไม่ได้แปลว่าเราต้องให้เงินมากมายเสมอไป
แต่ถ้าเรามีเงินและมีใจกว้างด้วย ก็เป็นไปได้ว่าความเอื้ออาทรของเราบางส่วนจะถูกแสดงให้เห็นในเงินที่เรามอบให้ แต่ไม่ว่าเราจะ มีเวลา มีทักษะพิเศษ มีความเมตตา มีความอดทน เราก็สามารถแสดงมันออกไปด้วยใจกว้างขวางได้เช่นกัน
ความเอื้ออาทรเป็นเรื่องของหัวใจ และเราไม่สามารถวัดมันได้จากการนับชั่วโมงบนนาฬิกา หรือเงินดอลลาร์ในตะกร้าถวาย หรือจากความถี่ที่เราได้แบ่งปันคำปลอบโยนให้กับผู้อื่น
บางทีตอนนี้คุณอาจกำลังคิดกับตัวเองว่า เอาจริงนะ - ฉันเองก็ไม่ใช่คนใจกว้างอะไรนักหนาหรอก -มันก็มีบ้างแหละที่มีของบางอย่างที่ฉันเองก็ไม่ได้เต็มใจจะแบ่งปัน - ฉันไม่ได้อยากให้เลยจริงๆ - ถึงจะให้ฉันก็ให้ไม่ได้ให้อะไรเขาเยอะแยะมากมายเลยนะทั้งที่จริงๆฉันควรจะให้มากกว่าที่ฉันให้ไปแล้วเสียอีก แต่ถ้าหากเราเอาแต่คิดอยู่แบบนี้ มันก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยน แล้วมันพอจะมีวิธีเปลี่ยนความคิดแบบนี้ไหม แม้ในใจลึก ๆ ของเราเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้วเราต้องการเปลี่ยนหรือเปล่า?
ฉันเองก็หวังว่าฉันจะมีสูตรที่สามารถแก้ปัญหานั้นได้ เพราะฉันเองก็ต้องการมันอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เราต่างก็มีช่องว่างระหว่างสิ่งที่เรารู้และสิ่งที่เราทำอยู่เสมอ อัครสาวกเปาโลอธิบายว่าวิญญาณต่อสู้ดิ้นรนกับเนื้อหนัง ดังนั้นสิ่งที่เราจะทำก็คือ? เลิกดิ้นรนแล้วปล่อยให้เนื้อหนังชนะเหรอ? เปล่าเลย อัครสาวกเปาโลพูดว่า เราควรต้องสู้กลับและทำในสิ่งที่เรารู้ว่าถูกต้อง แม้ว่าความเห็นแก่ตัวจะสู้กลับเราก็ตาม
ฉันเตือนตัวเองว่าพระเจ้ากำลังเชิญฉันเข้าสู่ชีวิตของพระองค์
ในความรักของพระบิดา
พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ – และชีวิตของพระองค์เป็นชีวิตแห่งความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
พระเจ้าต้องการให้ฉันมีความสุขกับชีวิตนั้นร่วมกับพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์
และพระองค์รู้ว่าฉันจะมีความสุขกับผลของการเป็นคนใจกว้างก็ต่อเมื่อฉันเป็นคนใจกว้างเท่านั้น
แต่ฉันจะไม่ประสบกับผลลัพธ์เหล่านั้นหากฉันยังคงเห็นแก่ตัว หรือหากฉันยังตระหนี่ในเรื่องของเวลา และตระหนี่กับการให้อภัย
เหตุผลที่ทำให้การมีชีวิตกับพระเจ้านั้นดีก็เพราะพระองค์ทรงพระทัยกว้าง
– เพราะชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์เป็นหนึ่งในความเอื้ออาทร –
และฉันต้องการมีส่วนร่วมในสิ่งนั้น
ฉันจึงขอให้พระเจ้าเปลี่ยนใจฉัน
และช่วยให้ฉันเป็นคนที่ฉันอยากจะเป็นตลอดไป ฉันขอบคุณพระองค์
เพราะฉันรู้ว่าฉันสามารถวางใจให้พระองค์ทำได้
เพราะพระเยซูคริสต์ได้ทรงทำให้ฉันมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะอยู่ในอาณาจักรของพระองค์แล้ว
พระองค์ก็ทรงใจดีกับฉัน และฉันก็เรียนรู้ได้จากสิ่งนั้น
ใน 2
โครินธ์บทที่ 8 เปาโลเขียนเกี่ยวกับการรวบรวมที่เขาได้ทำในคริสตจักรของคนต่างชาติเพื่อช่วยคริสตจักรชาวยิวในกรุงเยรูซาเล็มและแคว้นยูเดีย
การถวายนี้น่าจะเป็นเงิน
เพราะนั่นเป็นวิธีที่ผู้คนในกรีซส่งความช่วยเหลือไปยังแคว้นยูเดียได้สะดวกที่สุด
แต่เมื่อเราได้เห็นว่าบทนี้กล่าวถึงชีวิตแห่งความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เป็นอย่างไร
ขอให้คุณจำไว้ว่าความเอื้ออาทรนั้นเกี่ยวข้องกับเวลา ความเมตตา ความอดทน และแง่มุมอื่นๆ
ของชีวิต ไม่ว่าเราจะมีสิ่งใด ทุกสิ่งที่เราให้ความสำคัญ หรือสิ่งใดที่อาจช่วยเหลือผู้อื่นได้
ล้วนเป็นพื้นที่ที่เราอาจมีโอกาสได้แสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ตามความสามารถของเรา ตามสิ่งที่เรามี ไม่มีใครขอให้เราให้ในสิ่งที่เราไม่มี แต่จงให้เท่าที่เราจะทำได้
ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ใช่แค่เรื่องการเงินเท่านั้น แต่เราต้องใส่ใจคนอื่นด้วย เราทุกคนจำเป็นต้องมีทัศนคติที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เพราะพระเจ้าทรงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเรา
และพระองค์ต้องการแบ่งปันชีวิตของพระองค์กับเรา เราต้องการเป็นคนใจกว้างในวิธีที่เราใช้เวลา
คำพูด ความคิด และทรัพยากรอื่นๆ ที่เรามีกับคนอื่นๆ วันนี้ให้เราแต่ละคนถามตัวเองดูว่า ตอนนี้ฉันใจกว้างกับสิ่งที่ฉันมีอยู่แล้วหรือไม่? ฉันได้ให้ทั้งหมดเท่าที่ฉันสามารถให้ได้แล้วหรือยัง?
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ
lbf.church
ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น