วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563

พระเจ้าจะคอยเช็ดน้ำตาให้กับเรา



อธิษฐานเพื่อชีวิตการแต่งงานของเรา ระยะเวลา 100 วัน
วันที่ 93 – มีพระเจ้าเพียงพอ
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นกำลังและบทเพลงของข้าพเจ้า
พระองค์ได้ทรงมาเป็นความรอดของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์
ทรงเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเทิดทูนพระองค์
อพยพ 15: 2

มันง่ายที่เราจะถูกครอบงำด้วยความต้องการของชีวิตประจำวัน  แต่ถ้าหากคุณเป็นสาวกที่ซื่อสัตย์จากกาลิลีคุณจะไม่ถูกครอบงำ ทำไมนะเหรอ? เพราะความรักของพระเจ้าเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของคุณ ไม่ว่าคุณจะเผชิญกับอันตรายอะไรก็ตาม หรือคุณต้องทนทุกข์ทรมานไม่ว่าจะกับเรื่องอะไรก็ตาม พระเจ้าจะสถิตอยู่กับคุณและพระองค์ก็พร้อมที่จะปลอบประโลมและเยียวยาคุณ

ผู้ประพันธ์สดุดีเขียนว่า "เพราะพระพิโรธของพระองค์คงอยู่เพียงชั่วครู่ แต่ความโปรดปรานของพระองค์คงอยู่ชั่วชีวิต การร่ำไห้อาจคงอยู่ชั่วข้ามคืน แต่ความชื่นชมยินดีจะมาในเวลาเช้า" (สดุดี 30: 5) แต่ถึงแม้ว่าเราจะต้องทุกข์ทรมานและดูเหมือนว่าหนทางนี้ช่างยาวไกล  จงอย่าได้กลัวเลยเพราะพระเจ้าทรงสัญญาว่า พระองค์จะทรงอยู่ใกล้ผู้ที่หัวใจแตกสลาย และทรงช่วยผู้ที่ท้อแท้สิ้นหวัง(สดุดี 34:18)

หากคุณกำลังประสบกับความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจากการสูญเสียคนที่รัก หรือความเจ็บปวดทางกาย-ใจ วันนี้คุณพร้อมที่จะเริ่มต้นการเดินทางครั้งต่อไปกับพระเจ้าแล้วหรือยัง? ถ้าเป็นเช่นนั้นจงระลึกถึงข้อเท็จจริงนี้: หัวใจรักของพระเจ้านั้นเพียงพอที่จะเผชิญกับความท้าทายใด ๆ ทั้งหมดของคุณ คุณไม่เคยเดียวดาย เพราะพระองค์จะสถิตอยู่กับคุณและพระองค์ก็พร้อมที่จะปลอบประโลมและเยียวยาคุณเสมอ  และหากเราใช้ศรัทธาในพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์จะทรงยกเราขึ้นและอุ้มเราผ่านการทดลองทั้งหมดของเรา  เมื่อเรามองประสบการณ์ยากลำบากของชีวิตด้วยศรัทธาในพระคริสต์ เราจะเห็นว่ามีจุดประสงค์แห่งสวรรค์ในความทุกข์ยากของเราอยู่ ให้เรา “ปรับใจ ทำความเข้าใจ”ในการอดทน เรียนรู้ และรับการขัดเกลาจากการทดลองที่เกิดขึ้น

พระผู้เป็นเจ้าทรงเชื้อเชิญเราให้ตอบสนองต่อความทุกข์ของเราด้วยศรัทธาเพื่อเราจะได้เก็บเกี่ยวพระพรและได้รับความรู้ที่ไม่สามารถเรียนรู้ในวิธีอื่นใดได้ เราได้รับคำแนะนำให้รักษาพระบัญญัติในทุกสภาวการณ์และสถานการณ์เพราะ “คนที่ซื่อสัตย์ในความยากลำบาก, รางวัลของคนคนนั้นยิ่งใหญ่กว่าในอาณาจักรแห่งสวรรค์” และตามที่เราอ่านในพระคัมภีร์ “หากเจ้าโศกเศร้าเสียใจ, จงเรียกหาพระเจ้า

ข้อคิด
ไม่ว่าความเสียใจ ความเจ็บปวดนั้น "มัน" จะคืออะไรก็ตาม พระเจ้าสามารถจัดการกับมันได้! ให้เราหันใจของเราไปหาพระองค์ เรียกหาพระองค์ เพราะพลังของพระองค์เพียงพอและยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด



 ขอขอบคุณบทความหนุนใจจาก
churchofjesuschrist.org

ไม่มีสิ่งใดสามารถ “พรากเราจากความรักของพระเจ้า”



อ่านพระคัมภีร์ 365 วัน 
วันที่ 155 - ความรักเหนือธรรมชาติ
35ใครเล่าจะพรากเราจากความรักของพระคริสต์ได้? ความทุกข์ร้อน ความยากลำบาก การข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย ภยันตราย หรือคมดาบอย่างนั้นหรือ?
37เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิตโดยทางพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย
โรม 8: 35,37

เราจะพบความรักของพระเจ้าได้จากที่ไหน? คำตอบคือทุกที่. ความรักของพระเจ้าอยู่เหนือกาลเวลา  มันไปไกลเกินกว่าฟ้าสวรรค์และสัมผัสกับมุมที่มืดที่สุดและเล็กที่สุดของหัวใจมนุษย์ทุกคน

บางครั้งแม้แต่คริสเตียนแท้อาจสงสัยในเรื่องความรักของพระเจ้า. ชายคนหนึ่งพูดด้วยความท้อใจว่า “ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะเชื่อว่าพระเจ้าทรงใฝ่พระทัยในตัวผม.” ข้อสงสัยแบบนี้เคยรบกวนคุณเป็นครั้งคราวหรือไม่?

ซาตานต้องการอย่างยิ่งที่จะทำให้เราเชื่อว่าพระเจ้าไม่รักเราทั้งไม่ถือว่าเรามีค่า. จริงอยู่ ซาตานมักจะล่อลวงผู้คนโดยปลุกเร้าความหยิ่งทะนงที่มีอยู่ในคนเหล่านั้น. (2 โครินธ์ 11:3) แต่มันก็ชอบที่จะทำลายความนับถือตัวเองของคนที่ไม่เข้มแข็งด้วย. (ยอห์น 7:47-49; 8:13, 44) มันทำเช่นนี้โดยเฉพาะใน “สมัยสุดท้าย” อันวิกฤตินี้. หลายคนในทุกวันนี้เติบโตมาในครอบครัวที่ “ไม่มีความรักใคร่ตามธรรมชาติ.” บางคนต้องเผชิญกับคนที่ดุร้าย, คนเห็นแก่ตัว, และหัวดื้ออยู่เป็นประจำ. (2 ทิโมธี 3:1-5, ล.ม.) การที่ต้องประสบกับการปฏิบัติอย่างเลวร้าย, การเหยียดผิว, หรือความเกลียดชังเป็นเวลานานหลายปีอาจทำให้คนที่อยู่ในสภาพเช่นนั้นรู้สึกว่าตนไร้ค่าหรือไม่มีใครรัก.

หากคุณเองมีความรู้สึกในแง่ลบเช่นนั้น ก็อย่าได้สิ้นหวัง. หลายคนในพวกเราก็ตำหนิตัวเองเป็นครั้งคราว. แต่อย่าลืมว่า พระเจ้าทรงมองข้ามความไม่สมบูรณ์ของเราและทรงเห็นศักยภาพในตัวเรา. ตัวอย่าง: คนที่รักงานศิลปะจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อบูรณะซ่อมแซมภาพวาดหรืองานศิลปะอื่น ๆ ที่เสียหายมาก. เพราะภาพนั้นเป็นสิ่งล้ำค่าในสายตาของบรรดาผู้รักงานศิลปะ. คุณมีค่ายิ่งกว่าภาพที่เขียนด้วยชอล์กสีและถ่านมิใช่หรือ? ในสายพระเนตรของพระเจ้าคุณมีค่ายิ่งกว่านั้นแน่ ๆ ถูกแล้ว เพราะพระเจ้าทรงเห็นความดีในตัวเราซึ่งตัวเราเองอาจมองไม่เห็น. และขณะที่เรารับใช้พระองค์ พระองค์ก็จะทำให้ความดีนั้นพัฒนาขึ้นจนกระทั่งเราเป็นมนุษย์สมบูรณ์ในที่สุด

ข้อคิด
 วันนี้ให้เราเชื่อฟังพระเจ้าพระบิดาของเรา ให้เราเชื่อฟังพระองค์โดยนำพระวจนะของพระองค์มาปฏิบัติจริงในชีวิตและให้เราต้อนรับพระบุตรสุดที่รักของพระองค์เข้ามาประทับอยู่ในใจคุณ เมื่อคุณทำเช่นนั้นความรักเหนือธรรมชาติของพระเจ้าจะล้อมรอบคุณและเปลี่ยนแปลงคุณตลอดเวลาและตลอดไป
ความรักของพระเจ้าทำให้ทุกอย่างดีขึ้นรวมถึงตัวคุณด้วย

ขอขอบคุณ บทความหนุนใจจาก
jw.org

เมล็ดพันธุ์แห่งความเอื้ออาทร




อ่านพระคัมภีร์ 365 วัน 
วันที่ 154 - เมล็ดพันธุ์แห่งความเอื้ออาทร
จงรักษาคนเจ็บป่วย ให้คนตายฟื้นขึ้น รักษาคนโรคเรื้อนให้หาย และขับผีออก ท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆ ก็จงให้เปล่าๆ
มัทธิว 10: 8

เมื่อเราหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความเอื้ออาทรเราก็จะได้รับรางวัลมากมายตามแผนการของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเรา จงหว่านด้วยใจกว้างขวาง  6จงจำไว้ว่าผู้ที่หว่านอย่างตระหนี่ก็จะเก็บเกี่ยวได้น้อย ผู้ที่หว่านด้วยใจกว้างขวางก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก 7แต่ละคนควรให้ตามที่คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่อย่างลังเลหรือเพราะถูกผลักดัน เพราะพระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี  (2 โครินธ์ 9: 6,7)

ความสุขจะมีแก่ผู้ที่ใส่ใจคนอ่อนแอ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยกู้เขาในยามเดือดร้อนองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปกปักรักษา และสงวนชีวิตของเขาและพระองค์จะทรงอวยพรในแผ่นดินและจะไม่ทรงปล่อยให้ศัตรูทำกับเขาตามใจชอบ (สดุดี 41:1-3)

ผู้ใดที่มีใจเมตตา มีความเอื้ออาทร สนใจผู้อ่อนแอ “ผู้อ่อนแอ” มีความหมายกว้าง คือหมายถึง คนอ่อนแอทาง เศรษฐกิจหรือคนจนนั่นเองและหมายถึงความอ่อนแอทางอารมณ์  ความอ่อนแอทางร่างกาย  เจ็บป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บ พูดรวมๆ ผู้อ่อนแอคือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ กำลังในตัวเองไม่เพียงพอ ดังนั้นเราต้องมีพื้นที่ในใจที่จะคิดถึงความยากลำบาก และความขัดสนของผู้อื่นด้วยถึงจะได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ ที่หมายความว่า “ผู้มีจิตใจสูง”

 พระเยซูคริสต์เป็นต้นแบบในเรื่องนี้  ขณะที่พระองค์อยู่ในโลกพระองค์ดำเนินไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ สำแดงความเมตตารักษาคนเจ็บ เลี้ยงคนหิวโหย ให้กำลังคนอ่อนแรง ก่อนพระองค์เสด็จกลับสู่สวรรค์ พระองค์กำชับลูกศิษย์ให้ทำกิจการแห่งความเมตตาต่อไป

วันนี้จงให้คำมั่นสัญญาว่าคุณจะเป็นผู้ให้ที่ให้ด้วยใจยินดี-ด้วยใจกว้างขวางและกล้าหาญ ไม่คิดหวังสิ่งใดตอบกลับมา เพราะโลกใบนี้ต้องการความช่วยเหลือจากคุณอยู่และตัวคุณเองก็ต้องการรางวัลทางฝ่ายวิญญาณ   คุณจะได้รับรางวัลนั้นก็ต่อเมื่อคุณลงมือทำเพื่อผู้อื่นบ้าง

ข้อคิด
พระเจ้าทรงประทานพรนับไม่ถ้วนให้แก่เรา และพระองค์ก็ต้องการให้เราแบ่งปันเมล็ดพันธุ์แห่งความเอื้ออาทรให้กับคนอื่นด้วย  ผู้มีเมตตา จะไม่ซ้ำเติมคนอ่อนแอ แต่จะให้กำลังใจในทางคำพูด การกระทำ  คนอ่อนแออยู่ไม่ไกลจากเราเลยถ้าเราสังเกตดูดีๆ อาจมีใครสักคนรอคอยคุณอยู่ก็ได้    ขอให้วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่คนอ่อนแอได้รับความสนใจจากเรา ขอให้วันนี้คนอ่อนแอจะได้รับการสัมผัสรักจากเรา และขอให้คุณมั่นใจเถิดว่า ผู้ที่แสดงความเมตตาจะได้รับความเมตตาเช่นกัน   การให้หากคุณมีงบมากก็ให้มาก หากมีงบน้อยก็ให้น้อย บางสิ่งบางอย่างไม่ต้องรอให้ถึงวันที่เรารวยมาก ๆก่อนก็ได้  การแสดงออกถึงน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ หากเราทำได้ให้รีบทำ เพราะถ้ารอให้รวย ก็ไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นหรือเปล่า การให้บางครั้งก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นเงินทอง สิ่งของเพียงอย่างเดียว  คนบางคนเขาก็แค่รอคอยความรัก ความเอาใจใส่ ความเห็นอกเห็นใจ ความเอื้ออาทรของมนุษย์ด้วยกัน ส่วนเรื่องเงินทองก็ทำตามแรงของเราที่จะสามารถทำได้ ที่สำคัญพรุ่งนี้อาจจะสายไปสำหรับเรา หรือเขาแล้วก็ได้ ดังนั้นให้ทำเลยตอนนี้ วันนี้เลย  ที่สำคัญเราต้องมีความสุขที่ได้ให้ด้วยนะคะ ถ้าให้แล้วเราทุกข์ อันนี้คงไม่ดี

ขอขอบคุณ บทความหนุนใจจาก
romyenchurch.org

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563

อุปนิสัยที่ดีมีความสำคัญ




อธิษฐานเพื่อชีวิตการแต่งงานของเรา ระยะเวลา 100 วัน
วันที่ 92 - อุปนิสัยที่ดีมีความสำคัญ
33อย่าให้ใครชักจูงให้หลงผิดเลย “เพื่อนเลวย่อมทำให้อุปนิสัยที่ดีเสื่อมทรามไป” 34จงกลับมีสติสัมปชัญญะอย่างที่ควรเถิดและเลิกทำบาป เพราะมีบางคนไม่รู้จักพระเจ้าเลย ที่ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ก็เพื่อให้ท่านละอายใจ
1 โครินธ์ 15:33-34

มีคำพูดเก่าแก่ได้เคยกล่าวไว้และเป็นเรื่องจริง:คือ  ก่อนอื่นคุณเป็นคนสร้างนิสัยของคุณแล้วหลังจากนั้นนิสัยจะสร้างคุณ  ตอนแรกเราเป็นนายนิสัย พอทำจนเป็นนิสัย นิสัยจะควบคุมเรา” นิสัยบางอย่างจะนำคุณเข้าใกล้พระเจ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมีนิสัยอื่น ๆที่ไม่ดี จะนำคุณออกไปจากเส้นทางที่พระองค์ทรงเลือกให้กับคุณ หากคุณปรารถนาที่จะปรับปรุงสุขภาพจิตวิญญาณของคุณอย่างจริงจังคุณต้องตรวจสอบนิสัยที่คุณสร้างขึ้นเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของคุณ และคุณต้องละทิ้งนิสัยที่ไม่ดีเหล่านั้นที่มันเป็นที่เคืองพระทัยต่อพระเจ้า

หยุดสร้างอัตลักษณ์ของตัวเองบน "ความบกพร่อง" ด้วยคำพูดที่กล่าวว่า "ฉันก็เป็นแบบนี้แหละ" หรือ "ฉันจะเป็นอย่างที่ฉันอยากเป็น" ความกังวลที่ไร้สติคือถ้าเรายอมเปลี่ยนนิสัยอย่างที่เคยเป็นแล้วต่อไปเราจะเป็นอย่างไร คนรอบข้างจะรู้สึกว่าเราบ้าไปหรือเปล่า บางคนคงจะขบขันและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราซึ่งเมื่อก่อนเราไม่ใช่เป็นคนอย่างนี้? ความกลัวแบบนี้เป็นอุปสรรคและมันทำให้การเติบโตของเราหยุดชะงักอย่างแน่นอน

อย่าลืมว่าอุปนิสัยที่ดีนั้นต้องใช้เวลาในการพัฒนา จำไว้ว่าตัวตนของเราก็มาจากอุปนิสัยของเรา เราไม่สามารถเรียกร้องหาความซื่อสัตย์ได้นอกเสียจากว่าเราจะมีนิสัยซื่อสัตย์อยู่เสมอ

จำเอาไว้: เราต้องฝึกฝนอุปนิสัยทุกวันด้วยการพึ่งพาพระเจ้าแล้วเราจะเป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้น "ให้ท่านสวมสภาพใหม่ ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความชอบธรรม และความบริสุทธิ์ที่แท้จริง" (เอเฟซัส 4:24)

ถ้าคุณวางใจในพระเจ้าและหากคุณขอความช่วยเหลือจากพระองค์ ต่อไปพระองค์สามารถเปลี่ยนชีวิตคุณได้ หากคุณขอให้พระองค์ช่วยคุณด้วยความจริงใจ พระผู้สร้างองค์เดียวกันกับที่สร้างจักรวาลจะช่วยให้คุณเอาชนะอุปนิสัยอันตรายที่เคยมีมาก่อน   ดังนั้นถ้าในตอนแรกคุณยังไม่ประสบความสำเร็จก็จงหมั่นอธิษฐานต่อไป พระเจ้ากำลังฟังและพระองค์ก็พร้อมที่จะช่วยให้คุณเป็นคนที่ดีขึ้นถ้าคุณขอความช่วยเหลือจากพระองค์ ... ดังนั้นจงทูลพระองค์ในวันนี้เลย

ข้อคิด
ให้เราทูลขอให้พระเจ้าช่วยเราสามารถแยกแยะนิสัยที่ไม่ดี ให้เรามีสำนึกรู้ในความผิดชอบชั่วดีตลอดการดำเนินชีวิต และนับจากวันนี้ขอให้เราตรวจสอบตัวเองให้มั่นใจว่าการกระทำของเราจะเป็นที่พอพระทัยของพระองค์ทั้งในวันนี้และทุกวัน


 ขอขอบคุณบทความหนุนใจจาก
คริสตจักรพระกรุณาธิคุณ

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2563

การให้อภัย ทางเลือกที่เราควรทำ



อ่านพระคัมภีร์ 365 วัน 
วันที่ 153 การให้อภัย ทางเลือกที่เราควรทำ

รักศัตรู
43“ท่านทั้งหลายได้ยินคำกล่าวไว้ว่า ‘จงรักเพื่อนบ้านและเกลียดชังศัตรู’ 44แต่เราบอกท่านว่าจงรักศัตรูของท่านและอธิษฐานเผื่อบรรดาผู้ที่ข่มเหงท่าน
มัทธิว 5: 43-44

การให้อภัย เป็นตัวเลือกที่เราควรยึดเป็นหลักในการดำเนินชีวิตตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ หลายคนอาจมีคำถามว่า แล้วฉันจะสามารถให้อภัยคนที่ทำร้ายฉันได้หรือไม่? คำตอบคือ เราทำได้ เพราะเมื่อเราเชื่อฟังพระเจ้าด้วยการให้อภัยลูก ๆ ของพระองค์ และเราจะได้รับพรจากพระองค์ด้วยเช่นกัน  แต่ถ้าเราเลือกที่จะยอมให้ความขมขื่นและความขุ่นเคืองมาทำให้หัวใจของเราเป็นพิษ เราจะถูกทรมานด้วยความกลัว-ความโกรธ-เกลียดที่คอยเผาใจ- กัดกล่อนใจของเราเอง

คุณไม่พอใจกับใครอยู่หรือเปล่าในตอนนี้?  ถ้าใช่ก็หมายความว่าคุณกำลังเผชิญกับการตัดสินใจที่สำคัญอยู่!!  แต่ไม่ว่าคุณจะให้อภัยคนที่ทำร้ายคุณหรือไม่นั้น ให้คุณรู้ไว้ว่าคำแนะนำของพระเจ้านั้นถูกต้องและชัดเจนเสมอ : พระองค์สั่งให้คุณอภัยให้กับผู้ที่ทำผิดต่อคุณทั้งทางกาย วาจา ใจ และเวลาที่คุณจะต้องให้อภัยเขาเหล่านั้นคือตอนนี้ เพราะพรุ่งนี้อาจจะสายเกินไป ... สำหรับคุณ

บางครั้งเมื่อเราคืนดีกับผู้อื่น หลายคนมักพูดว่า เขาให้อภัยแล้วนะ แต่ในใจยังคงเคียดแค้น ยังคงหวาดระแวงอีกฝ่าย ยังคงไม่เชื่อความจริงใจของอีกฝ่าย แต่การกระทำแบบนี้คือบาป เพราะเมื่อใดมีการคืนดีหรือเมื่อใดที่เราอ้างการกสับใจ ทุกฝ่ายควรจะให้อภัยกันและลืม ต้องช่วยกันซ่อมรั้วที่มีช่องโหว่ทันที และทำการปรองดองกันทันที  เราควรปล่อยการตัดสินให้เป็นหน้าที่ของพระเจ้า เราไม่ต้องไปสนใจว่าปรปักษ์ของเราจะกลับใจหรือไม่ หรือการเปลี่ยนแปลงของเขาจะจริงใจหรือ ไม่ หรือเขาขออภัยเราหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ให้เราปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระองค์ หน้าที่ของเราคืออภัยด้วยใจจริง และทำอย่างจริงใจ

ข้อคิด     
พระวจนะของพระเจ้าสั่งให้คุณให้อภัยผู้อื่น ... โดยไม่มีข้อยกเว้น
 พระเจ้าทรงบัญชาว่าเราต้องให้อภัยผู้อื่นทั้งนี้เพื่อเราจะได้รับการยกโทษบาปของเรา และได้รับพรด้วยสันติสุขและความปีติยินดี

ขอขอบคุณ บทความหนุนใจจาก
churchofjesuschrist.org

ใจที่ชอกช้ำและวิญญาณที่สำนึกผิด




อธิษฐานเพื่อชีวิตการแต่งงานของเรา ระยะเวลา 100 วัน
วันที่ 91 ใจที่ชอกช้ำและวิญญาณที่สำนึกผิด
10ความเศร้าเสียใจอย่างที่อยู่ในทางพระเจ้าส่งผลให้กลับใจใหม่อันนำไปสู่ความรอดและไม่เหลือความเสียใจไว้ ส่วนความเศร้าเสียใจอย่างโลกนำไปสู่ความตาย
(2 โครินธ์ 7:10)

เราทุกคนทำบาป บางครั้งบาปของเราเป็นผลมาจากการกบฏดื้อรั้นของเราเองต่อพระบัญญัติของพระเจ้า และบางครั้งเราถูกล่อลวงให้ต้องเข้าไปในเหตุการณ์ที่เกินความสามารถในการควบคุมของเรา ภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ เราอาจรู้สึกผิดอย่างรุนแรง แต่พระเจ้ามีคำตอบสำหรับความผิดที่เรารู้สึก แน่นอนว่าคำตอบนั้นคือ การให้อภัยของพระองค์  เมื่อเราสารภาพความผิดและกลับใจจากสิ่งที่เราทำผิดพลาดไป เราจะได้รับการอภัยจากพระผู้สร้างของเรา

ส่วนใหญ่คุณเป็นทุกข์จากความรู้สึกผิดหรือความรู้สึกเสียใจ? ถ้าเป็นเช่นนั้นคุณคงต้องกลับใจจากการกระทำผิดของคุณและคุณต้องขอให้พระองค์ให้อภัย  เมื่อคุณทำเช่นนั้นพระองค์จะให้อภัยคุณอย่างสมบูรณ์และไม่ต้องรอ จากนั้นคุณต้องให้อภัยตัวเองเช่นเดียวกับที่พระเจ้าให้อภัยคุณโดยไม่ต้องมีเงื่อนไข และอย่าเดินในทางบาปอีก

เพื่อจะได้รับการชำระให้สะอาดจากบาป เราต้องใช้ศรัทธาในพระเยซูคริสต์สู่การกลับใจ เมื่อเรากลับใจอย่างจริงใจ เราจะได้รับการอภัยบาป ซึ่งนำปีติและสันติในมโนธรรมมาสู่จิตวิญญาณของเรา เราสามารถรักษาการอภัยบาปไว้ได้ตลอดชีวิตเมื่อเรารักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าอย่างซื่อสัตย์ รักและรับใช้กัน

“ใจที่ชอกช้ำและวิญญาณที่สำนึกผิดคืออะไร … การที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงยอมเชื่อฟังพระบิดานิรันดร์ทุกอย่างคือเนื้อแท้ของใจที่ชอกช้ำและวิญญาณที่สำนึกผิด แบบอย่างของพระคริสต์สอนเราว่าใจที่ชอกช้ำคือคุณลักษณะนิรันดร์ของความเป็นพระผู้เป็นเจ้า เมื่อใจเราชอกช้ำ เราย่อมเปิดรับพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าและรู้ว่าเราต้องพึ่งพาพระองค์ในทุกสิ่งที่เรามีและในทุกสิ่งที่เราเป็น การเสียสละที่ได้รับการถ่ายทอดมาคือการสละความหยิ่งจองหองในทุกรูปแบบ  

“ใจที่ชอกช้ำและวิญญาณที่สำนึกผิดเป็นเงื่อนไขอันดับแรกของการกลับใจ เมื่อเราทำบาปและปรารถนาการให้อภัย ใจที่ชอกช้ำและวิญญาณที่สำนึกผิดหมายถึงการประสบ ‘ความเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า [ที่] ทำให้เกิดการกลับใจ’ (2 โครินธ์ 7:10) สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อความปรารถนาจะรับการชำระให้สะอาดจากบาปแรงกล้าจนใจเราเจ็บปวดด้วยความเศร้าเสียใจ และเราใฝ่หาความรู้สึกสงบกับพระบิดาในสวรรค์ คนที่มีใจชอกช้ำและวิญญาณที่สำนึกผิดจะยอมทำทุกอย่างที่พระผู้เป็นเจ้าทรงขอให้พวกเขาทำโดยไม่ขัดขืนหรือขุ่นเคือง เราจะหยุดทำสิ่งต่างๆ ตามวิธีของเราและเรียนรู้ที่จะทำตามวิธีของพระผู้เป็นเจ้า ในสภาพของการยอมเชื่อฟังเช่นนั้น การชดใช้จะเกิดผลและการกลับใจที่แท้จริงจะเกิดขึ้น

ข้อคิด
ถ้าเรามาหาพระคริสต์ด้วยใจที่ชอกช้ำและวิญญาณที่สำนึกผิด พระองค์จะทรงรับเราและไถ่เราจากบาป   ถ้าเราจดจำความรักและพระคุณความดีที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมีต่อเรา ยืนหยัดมั่นคงในศรัทธา รักและรับใช้ผู้อื่น เราสามารถทำให้การอภัยบาปของเรามีอยู่เสมอ

 ขอขอบคุณบทความหนุนใจจาก
churchofjesuschrist.org

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2563

จิตใจที่อ่อนโยนทรงคุณค่ายิ่งนักในสายพระเนตรพระเจ้า



อ่านพระคัมภีร์ 365 วัน 
วันที่ 152 วิญญาณที่อ่อนโยน
3ความงามของท่านไม่ควรมาจากการตกแต่งภายนอกเช่น ถักผม สวมเครื่องทองและเสื้อผ้าสวยงาม 4แต่ให้ออกมาจากตัวตนภายใน คือความงามอันไม่รู้จางหายของจิตใจที่อ่อนโยนและสงบเยือกเย็น ซึ่งจิตใจเช่นนี้ทรงคุณค่ายิ่งนักในสายพระเนตรพระเจ้า
1 เปโตร 3: 3-4

หาก​ใคร​คน​หนึ่ง​มี​ความ​อ่อนโยน เรา​ก็สบาย​ใจ​เมื่อ​อยู่​กับ​เขา  ความ​อ่อนโยน​เป็น​คุณลักษณะ​อัน​น่า​ทึ่ง​ที่​รวม​เอา​ทั้ง​ความ​อ่อน​ละมุน​กับ​ความ​แข็ง​แกร่ง​ไว้​ด้วย​กัน.

เนื่อง​จาก​ความ​อ่อนโยน​เป็น​ผล​อย่าง​หนึ่ง​ของ​พระ​วิญญาณ​ของ​พระเจ้า จึง​เป็น​เรื่อง​สม​เหตุ​สม​ผล​ที่​ความ​อ่อนโยน​จะ​เกี่ยว​ข้อง​อย่าง​ใกล้​ชิด​กับ​บุคลิกภาพ​อัน​น่า​พิศวง​ของ​พระเจ้า. อัครสาวก​เปโตร​เขียน​ว่า “น้ำใจ​สงบเสงี่ยม​และ​อ่อนโยน . . . มี​ค่า​มาก​ใน​สาย​พระ​เนตร​ของ​พระเจ้า.” (1 เปโตร 3:4) จริง​ที​เดียว ความ​อ่อนโยน​เป็น​คุณลักษณะ​อย่าง​หนึ่ง​ที่​พระ​เจ้าทรง​สำแดง ซึ่ง​พระองค์​ทรง​ถือ​ว่า​มี​ค่า​มาก. แน่นอน ความ​จริง​ข้อ​นี้​เพียง​อย่าง​เดียว​ก็​เป็น​เหตุ​ผล​ที่​เพียง​พอ​แล้ว​ที่​ผู้​รับใช้​ของ​พระเจ้า​ทุก​คน​จะ​ปลูกฝัง​ความ​อ่อนโยน.

 “ความ​อ่อน​สุภาพ,”  ​ใน​ภาษา​เดิม​ไม่​ได้​พรรณนา​ถึง​ความ​อ่อน​สุภาพ​หรือ​ความ​อ่อนน้อม​ที่​ปรากฏ​ให้​เห็น​ภาย​นอก แต่​เป็น​ความ​อ่อนโยน​และ​ความ​เมตตา​กรุณา​ที่​อยู่​ภาย​ใน; ไม่​ใช่​ลักษณะ​พฤติกรรม​ของ​ผู้​คน แต่​เป็น​สภาพ​ของ​จิตใจ​และ​หัวใจ.

คุณลักษณะ​ที่​เกี่ยว​ข้อง​อย่าง​ใกล้​ชิด​กับ​ความ​อ่อนโยน​คือ​ความ​ถ่อม​ใจ หรือ​การ​มี “หัวใจ​ถ่อม.” ใน​ทาง​ตรง​กัน​ข้าม ความ​เย่อหยิ่ง​นำ​ไป​สู่​การ​ยก​ตัว​เอง​และ​บ่อย​ครั้ง​นำ​ไป​สู่​การ​ปฏิบัติ​ต่อ​ผู้​อื่น​อย่าง​ไม่​กรุณา​และ​ขาด​ความ​เห็น​อก​เห็น​ใจ. (สุภาษิต 16:18, 19) พระ​เยซู​ทรง​สำแดง​ความ​ถ่อม​ใจ​ตลอด​ช่วง​เวลา​ที่​พระองค์​รับใช้​ทาง​แผ่นดิน​โลก.  

ตราบใดที่คุณยังอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ คุณจะต้องเผชิญกับโอกาสมากมายที่จะทำให้อารมณ์ของคุณหงุดหงิดไปกับเรื่องล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่มีนัยสำคัญ: การจราจรติดขัด- การถูกกักตัวในช่วงโควิด - อินเตอร์เน็ตโหลดช้า - เพื่อนตอบข้อความช้า - คนนกดไลค์ กดถูกใจช้า -เราเริ่มทะเลาะกันเพราะแค่คิดต่างมุม ฯลฯ  สิ่งเหล่านี้กำลังล่อลวงให้เราอารมณ์เสีย  หากเรากำลังรู้ตัวว่าหลายครั้งเราเองก็ปล่อยใจไปหงุดหงิดในเรื่องเหล่านี้ ให้เราฝึกรู้ทันความคิด และอารมณ์ของตนเอง อย่าทำเช่นนั้นอีก ให้เราหันออกจากไปจากความโกรธและหันไปหาพระเจ้าแทน เมื่อคุณทำเช่นนั้น พระองค์จะเติมเต็มวิญญาณที่เปี่ยมด้วยความรักให้กับคุณซึ่งจะช่วยให้คุณมีวิธีจัดการกับผู้อื่นได้อย่างอ่อนโยนและไม่เห็นแก่ตัว

ข้อคิด
มันดีที่เราจะรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น .. แต่มันจะดีกว่าถ้าเรารู้จักทำอะไรให้คนอื่นบ้าง!
หยุดคิดถึงแต่ตัวเอง แล้วหันไปใส่ใจ เห็นอกเห็นใจคนอื่น  แล้วมันจะช่วยให้เราลืมปัญหาของตนเอง และพบความสุขที่แท้จริง  ดัง​นั้น ความ​อ่อนโยน​จึง​เป็น​คุณลักษณะ​ที่​จำเป็น​อย่าง​ยิ่ง. นี่​ไม่​ใช่​แค่​อากัปกิริยา​อ่อน​สุภาพ แต่​เป็น​ลักษณะ​นิสัย​ที่​ดึงดูด​ใจ​ซึ่ง​ทำ​ให้​ผู้​อื่น​สดชื่น. อาจ​เป็น​ได้​ที่​ใน​อดีต​เรา​เคย​พูด​จา​หยาบคาย​หรือ​ประพฤติ​อย่าง​ที่​ขาด​ความ​กรุณา. อย่าง​ไร​ก็​ตาม พอ​เรา​ได้​เรียน​รู้​ความ​จริง​จาก​คัมภีร์​ เรา​จึงทำ​การ​เปลี่ยน​แปลง​และ​กลาย​เป็น​คน​ที่​น่า​คบ​มาก​ขึ้น. ท่านเปาโล​กล่าว​ถึง​การ​เปลี่ยน​แปลง​นี้​เมื่อ​ท่าน​กระตุ้น​เพื่อน​ผู้รับใช้พระเจ้า​ว่า “จง​สวม​ตัว​ท่าน​ด้วย​ความ​เมตตา​รักใคร่​อัน​อ่อน​ละมุน, ความ​กรุณา, จิตใจ​อ่อนน้อม, ความ​อ่อนโยน, และ​ความ​อด​กลั้น​ไว้​นาน.”

การ​เพ่ง​มอง​เข้า​ไป​ใน​พระ​คำวจนะ​ของ​พระเจ้า​และ​คิด​ใคร่ครวญ​ถึง​ตัว​อย่าง​ต่าง ๆ ใน​พระวจนะ​นั้น จะ​ช่วย​ให้​เรา​มอง​ตัว​เอง​ใน​มุม​มอง​ใหม่​และ​ตรง​กับ​ที่​เป็น​จริง. พระวจนะ​ที่​มี​ขึ้น​โดย​การ​ดล​ใจ​ของ​พระเจ้า​ซึ่ง​เปรียบ​เหมือน​กระจก​นั้น​เปิด​เผย​อะไร​มากมายเกี่ยว​กับ​ตัว​คุณ!!

ขอขอบคุณ บทความหนุนใจจาก
wol.jw.org

ความสัมพันธ์เป็นสิ่งคุ้มค่าแก่การรื้อฟื้นเสมอ


อธิษฐานเพื่อชีวิตการแต่งงานของเรา ระยะเวลา 100 วัน
วันที่ 90 ความสำคัญของมิตรภาพ
ถ่อมใจอย่างพระคริสต์
1ในเมื่อท่านได้รับกำลังใจจากการเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ ได้รับการปลอบโยนจากความรักของพระองค์ ได้สามัคคีธรรมกับพระวิญญาณ ได้รับความอ่อนโยนและความสงสาร 2ก็จงทำให้ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีอย่างบริบูรณ์โดยมีความคิดอย่างเดียวกัน มีความรักอย่างเดียวกัน มีใจเดียวกัน และมีเป้าหมายเดียวกัน 3อย่าทำสิ่งใดด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างเห็นแก่ตัว หรือด้วยความถือดี แต่จงทำด้วยความถ่อมใจ ถือว่าคนอื่นดีกว่าตน 4แต่ละคนไม่ควรมุ่งหาประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่ควรคิดถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย
ฟิลิปปี 2:1-4

ความสัมพันธ์เป็นสิ่งคุ้มค่าแก่การรื้อฟื้นเสมอ
เพราะชีวิตทั้งชีวิตเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ที่จะรัก พระเจ้าจึงต้องการให้เราให้คุณค่าแก่ความสัมพันธ์ และทุ่มเทเพื่อรักษาความสัมพันธ์ไว้ แทนที่จะทิ้งขว้างไปทันทีที่เกิดความแตกร้าว ความเจ็บปวด หรือความขัดแย้ง ที่จริง พระคัมภีร์บอกเราว่า พระเจ้าประทานพันธกิจการรื้อฟื้นความสัมพันธ์แก่เรา (2 โครินธ์ 5:18) ด้วยเหตุนี้ เนื้อหามากมายในพระคัมภีร์ใหม่จึงเน้นเรื่องการสอนให้เราปรองดองกัน ท่านเปาโลเขียนว่า "ถ้าท่านได้สิ่งใดก็ตามจากการติดตามพระคริสต์ ถ้าความรักของพระองค์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตท่าน ถ้าการอยู่ในชุมชนของพระวิญญาณมีความหมายสำหรับท่าน… จงเห็นพ้องกัน รักกัน และเป็นเพื่อนที่จิตใจผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง" (ฟีลิปปี 2:1-2 ) ท่านเปาโลสอนว่า ความสามารถของเราในการปรองดองกับคนอื่นคือเครื่องหมายของความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ (โรม 15:5)

ความสำคัญของมิตรภาพ ไม่เพียงแต่ให้ชีวิตมีความสุข ความดีในระดับบุคคลเท่านั้น แต่มิตรภาพยังเป็นส่วนสำคัญ ที่ช่วยให้เกิดความสงบสุขในสังคม ในรัฐที่มนุษย์อาศัยอยู่ ช่วยทำให้เกิดความเที่ยงธรรมและมีเกียรติ ทั้งนี้เพราะมิตรภาพ ทำให้เกิดการเชื่อถือไว้วางใจซึ่งกันและกัน เป็นการแสดงออกถึง สภาวะทางศีลธรรมที่บุคคลมีต่อกันคือ ความรัก ความชื่นชมในความดีและ ความปรารถนาดี ที่ต่างฝ่ายต่างมีให้กัน เป็นมิตรภาพที่อยู่บนความเสมอภาค ดังคำพังเพยของสังคมกรีก ที่กล่าวว่า “มิตรภาพคือความเสมอภาค”  

เมื่อทราบความหมายของคำว่ามิตรภาพแล้ว เราหลายๆ คนมาร่วมกันสร้างมิตรภาพให้เกิดขึ้นตั้งแต่ในครอบครัวของเรา พ่อแม่รักใคร่กัน พี่น้องรักและเข้าใจกัน ช่วยเหลือดูแลกัน เพื่อนบ้านรักในเพื่อนบ้าน คนทำงานรักเพื่อนร่วมงาน ทุกคนมีพื้นฐานความรักความเข้าใจซึ่งกันละกัน สังคมก็ปกติสุข ความรักเป็นพื้นฐาน ที่ทำให้จิตใจคนงดงาม ความรักที่กล่าวหมายถึงความรักในตัวเพื่อนมนุษย์ เราทุกคนควรสร้างมิตรภาพไว้รอบตัวเรา เพื่อให้ตัวเราและสังคม ที่เราอยู่ มีความรักใคร่สมัครสมานสามัคคีกัน

ถ้าคุณต้องการพระพรของพระเจ้าในชีวิต และต้องการเป็นที่รู้จักในฐานะลูกของพระเจ้า คุณต้องเรียนรู้ที่จะเป็นผู้สร้างสันติ พระเยซูตรัสว่า "คนที่สร้างสันติก็เป็นสุขเพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาทั้งหลายว่าเป็นลูก" (มัทธิว 5:9 2002) สังเกตว่า พระเยซูมิได้ตรัสว่า "คนที่รักสันติก็เป็นสุข" เพราะว่าทุกคนรักสันติ และพระองค์มิได้ตรัสว่า "คนที่สงบก็เป็นสุข" คือคนที่ไม่ถูกสิ่งใดรบกวนเลย แต่พระเยซูตรัสว่า "คนที่สร้างสันติก็เป็นสุข" คือคนเหล่านั้นที่พยายามแก้ไขความขัดแย้ง ผู้สร้างสันติมีน้อยเพราะว่าการสร้างสันติเป็นงานหนัก

เนื่องจากคุณถูกสร้างมาเพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของพระเจ้า และวัตถุประสงค์ประการที่สองของชีวิตในโลกของคุณคือ การเรียนรู้ที่จะรักและสัมพันธ์กับคนอื่นการสร้างสันติจึงเป็นทักษะสำคัญที่สุดที่คุณจะฝึกได้ น่าเสียดาย พวกเราส่วนใหญ่ไม่เคยได้รับการสอนวิธีแก้ไขความขัดแย้ง

การสร้างสันติไม่ใช่การหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง การวิ่งหนีปัญหา การแสร้งทำเป็นไม่มีปัญหา หรือการกลัวที่จะพูดถึงมัน ล้วนแล้วแต่เป็นความขี้ขลาดโดยแท้ พระเยซูองค์สันติราช ไม่เคยกลัวความขัดแย้ง บางครั้งพระองค์ทรงเริ่มต้นความขัดแย้งเพื่อผลดีสำหรับทุกคน บางครั้งเราจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง แต่บางครั้งเราก็จำเป็นต้องสร้างมันขึ้นมา และบางครั้งเราต้องแก้ไขมัน นั่นคือเหตุผลที่เราต้องอธิษฐานขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำทุกลมหายใจ

การสร้างสันติไม่ใช่การยอมอ่อนข้อต่อทุกสถานการณ์ การเอาแต่ยอมแพ้ ทำตัวเหมือนพรมเช็ดเท้า และปล่อยให้คนอื่นทับถมคุณอยู่เรื่อยไปไม่ใช่สิ่งที่พระเยซูต้องการ พระองค์ไม่ยอมถอยในหลาย ๆ เรื่อง และทรงยืนหยัดจุดยืนของพระองค์ต่อสู้ความชั่ว

จงเป็นฝ่ายเริ่มคืนดีก่อนเสมอ ไม่สำคัญว่าคุณจะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิด พระเจ้าทรงคาดหวังว่าคุณต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อน อย่าคอยอีกฝ่ายหนึ่ง จงไปหาเขาก่อน การรื้อฟื้นความสัมพันธ์ที่แตกร้าวนั้นสำคัญมาก พระเยซูตรัสสั่งว่า เรื่องนี้สำคัญยิ่งกว่าการนมัสการเป็นกลุ่มเสียอีก พระองค์ตรัสว่า "ถ้าท่านเข้าไปในสถานนมัสการ กำลังจะถวายเครื่องบูชาแล้วทันใดนั้นท่านนึกได้ว่ามิตรสหายคนหนึ่งโกรธเคืองท่านอยู่ จงละเครื่องบูชาไว้ ออกไปทันที ไปหาสหายคนนั้นและแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ให้ถูกต้อง แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า" (มัทธิว 5:23-24 )

ข้อคิด
เราจะอยู่กับผู้อื่นด้วยความปรองดองและความรักได้มากขึ้น เมื่อเราพยายามเป็นผู้สร้างสันติ  พระเยซูทรงเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของคำว่าเพื่อนแท้จริง ความรักของพระองค์สำหรับเราคือการเสียสละไม่เคยเห็นแก่ตัว  

 เนื่องจากเราทุกคนมีจุดบอด และยังเป็นคนที่มีข้อบกพร่องอยู่มากมาย การรื้อฟื้นความสัมพันธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญในทุกมิตรภาพ ดังนั้นให้เราเน้นที่การคืนดี ไม่ใช่การแก้ปัญหา มันไม่สมเหตุสมผลที่จะคาดหวังว่า ทุกคนต้องเห็นตรงกันทุกเรื่อง การคืนดีเน้นที่ความสัมพันธ์ ขณะที่การแก้ปัญหาเน้นที่ปัญหา เมื่อเราจดจ่อที่การคืนดี ปัญหาก็จะหมดความสำคัญ และมักจะไม่เกี่ยวข้อง  ในการแก้ไขความขัดแย้ง วิธีที่คุณพูดมีความสำคัญพอ ๆ กับสิ่งที่คุณพูด ถ้าคุณพูดแบบรุกราน อีกฝ่ายก็จะตอบสนองแบบตั้งรับ พระเจ้าตรัสบอกเราว่า "คนที่ฉลาดและเป็นผู้ใหญ่มีชื่อเสียงเรื่องความเข้าใจของเขา ยิ่งคำพูดของเขาไพเราะเท่าใด เขาก็ยิ่งจูงใจได้ดีเท่านั้น" (สุภาษิต 16:21 ) การเหน็บแนมไม่เคยใช้ได้ผล คุณจะจูงใจใครไม่ได้เลย เมื่อคุณหยาบคาย

 ขอขอบคุณบทความหนุนใจจาก
novabizz.com
churchofjesuschrist.org

thepurposedrivenlife40day.blogspot.com

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2563

พระคุณซ้อนพระคุณ



อ่านพระคัมภีร์ 365 วัน 
วันที่ 151 พระคุณซ้อนพระคุณ
เราทั้งปวงได้รับพระพรครั้งแล้วครั้งเล่าจากความบริบูรณ์แห่งพระคุณของพระองค์
ยอห์น 1:16

พระพร คือ สิ่งที่พระเจ้าทำหรือมอบให้แก่เรา ทั้งทางกายภาพ จิตใจ และจิตวิญญาณ แม้หลายครั้งสิ่งเหล่านั้นอาจดูไม่เป็นที่ถูกอกถูกใจของเรา หลายครั้งเราอาจจะยังไม่เข้าใจถึงสิ่งเหล่านั้น บางครั้งก็ดูเหมือนไม่ใช่สิ่งดีเสียทีเดียว แต่พระเจ้าผู้ทรงรักเราอย่างที่สุด ดุจแก้วตาดวงใจ ทรงตั้งและเรียกว่าเราบุตรที่รัก ย่อมจัดเตรียมและมอบแต่สิ่งที่ดีให้แก่เราเป็นแน่

ความรักที่แท้จริงเริ่มต้นจากพระบิดา ผู้ทรงประทานพระบุตรของพระองค์ให้เป็นของขวัญแก่เรา ให้เราหาโอกาสสำแดงความรักต่อผู้อื่นอย่างพระคริสต์ผู้ทรงสละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา

ถ้าการเสียสละคือมาตรวัดความรักที่แท้ ก็คงไม่มีของขวัญใดมีค่าไปกว่าพระเยซู “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์”

พระเยซูตรัสว่า “ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน” ความเต็มใจเสียสละจนถึงที่สุดเพื่อปกป้องผู้อื่น แสดงถึงหัวใจที่ใส่ใจในความต้องการของผู้อื่นมากกว่าความต้องการของตนเอง ใครคนหนึ่งเคยพูดเอาไว้ว่า “คุณค่าของความรักนั้น วัดได้จากสิ่งที่คนคนหนึ่งยินดีสละเพื่อแลกกับความรัก”
                            
พระเจ้าพระบิดาทรงรักเรามาก จนยอมสละพระบุตรของพระองค์ พระเยซูก็ทรางรักเรามากจนยอมสละพระชนม์ของพระองค์ กระทั่งยอมรับเอาความบาปของเราไว้และตายแทนเรา

 ความรักของพระเจ้าที่มอบให้คุณนั้นยิ่งใหญ่นัก คุณรับความรักของพระองค์ไว้เป็นการส่วนตัวแล้วหรือยัง?  การรู้ว่าพระเจ้าสร้างเรา ทำให้เราตระหนักว่าเรามีค่าต่อพระองค์มากแค่ไหน  ในทุกครั้งที่กล่าวถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อิสราเอลก็จะตามด้วยคำกล่าวซ้ำๆ ว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์” เพื่อย้ำเตือนคนอิสราเอลว่าประสบการณ์ของพวกเขาไม่ใช่เรื่องทั่วไป แต่ละเหตุการณ์รังสรรค์ขึ้นโดยพระเจ้าและเป็นภาพสะท้อนถึงความรักมั่นคงของพระองค์ต่อคนที่พระองค์ทรงสร้าง   บ่อยครั้งเราเองก็มักมองข้ามเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นพระราชกิจและพระเมตตาของพระองค์ จนเราลืมไปว่าของขวัญที่ดีเลิศทุกอย่างมาจากพระบิดาในสวรรค์ (ยก.1:17) ผู้ทรงสร้างเราและรักเรา ขอให้เราเรียนรู้ที่จะมองเห็นว่าพระพรทุกอย่างในชีวิตเรามาจากความรักมั่นคงของพระเจ้าที่มีต่อเรา

ข้อคิด
ไม่มีสิ่งใดแสดงถึงความรักของพระเจ้าได้ดีไปกว่าไม้กางเขนของพระคริสต์  ถ้าคุณต้องการกำลังใจอยู่ในตอนนี้ให้เริ่มนับพระพรของคุณตลอดในชีวิตที่ผ่านมาและนับต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้น สิบนิ้วของเราคงยังไม่พอนับพระพรทั้งหมดที่พระเจ้าประทานให้ทุกวัน “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ได้ทรงทวีพระราชกิจอันอัศจรรย์ของพระองค์และพระดำริของพระองค์แก่ข้าพระองค์ ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมพระองค์ ถ้าข้าพระองค์จะประกาศและบอกกล่าวแล้วก็มีมากมายเหลือที่จะนับ พระเจ้าของข้าพระองค์” (สดุดี 40:5) ยิ่งไปกว่านั้น ทำอย่างไรเราจึงจะเริ่มนับพระพรทั้งสิ้นเรื่องความรอด การคืนดีและชีวิตนิรันดร์ได้  ให้เราขอบพระคุณในพระพรเหลือคณานับของพระองค์

ขอขอบคุณ บทความหนุนใจจาก
thaiodb.org
panarat.com

จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า



อธิษฐานเพื่อชีวิตการแต่งงานของเรา ระยะเวลา 100 วัน
วันที่ 89 จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า
อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอนพร้อมกับการขอบพระคุณ
ฟิลิปปี 4: 6

คุณทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าบ่อยแค่ไหน? บางครั้ง? หรือเป็นระยะ ๆ ? หรือเฉพาะเวลาที่ที่คุณประสบวิกฤติ?  เราหวังว่าคุณและคู่สมรสของคุณจะรักการอธิษฐานและทำเป็นกิจวัตรอยู่แล้วทุกวัน เราไม่ต้องอายที่ต้องทูลต่อพระองค์เพื่อขอความช่วยเหลือ เราทุกคนควรทำเสียแต่เนิ่น ๆ และควรทำบ่อยๆ ทุกวัน  ที่จริงแล้วเราทำโดยไม่ต้องรอเฉพาะเวลาที่เราเจอกับปัญหา แต่ให้เราทูลต่อพระองค์เพื่อขอบพระคุณพระองค์ในแต่ละวัน ขอบคุณพระองค์กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา   ในแต่ละวันให้คุณสำรวจตัวเองอยู่เสมอว่า คุณทั้งสองได้พยายามที่จะเรียนรู้และแสวงหาคำแนะนำของพระองค์ในทุกด้านของชีวิตอย่างจริงจังแล้วหรือยัง? ถ้ายังให้เริ่มวันนี้เลย !!

พระเจ้าทรงสัญญาว่าเมื่อคุณมาขอความช่วยเหลือจากพระองค์  พระองค์จะรับฟังอยู่เสมอ ดังนั้นให้เราทูลขอ สติปัญญาจากพระองค์ เพื่อให้พระองค์นำทางคุณและปกป้องคุณและช่วยแก้ไขชีวิตของคุณให้ถูกต้อง-และปรับเปลี่ยนให้มันเป็นไปในทิศทางขอพระองค์ จากนั้นให้คุณวางใจ-มั่นใจในคำตอบที่พระองค์มอบให้ จำไว้ว่า เวลาของพระองค์ดีต่อเราเสมอ และพระองค์มาทันเวลาเสมอ

ชีวิตมีเรื่องไม่แน่นอนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิต ปัญหาครอบครัว ความกังวลเรื่องสุขภาพหรือปัญหาการเงิน สิ่งที่ฉันเรียนรู้อยู่เสมอคือ พระเจ้าทรงห่วงใย พระองค์เชื้อเชิญให้เราละความกลัวถึงสิ่งที่ไม่รู้โดยมอบให้กับพระองค์ อันที่จริงแล้ว พระองค์ผู้ทรงทราบทุกสิ่ง และยังทรงสัญญาว่าสันติสุขของพระองค์ “ซึ่งเกินความเข้าใจจะคุ้มครองจิตใจและความคิด” ของเราไว้ในพระเยซูคริสต์

ตอนนี้พระองค์ยืนอยู่ที่ประตูและกำลังรอคุณเคาะเรียกหาพระองค์  เมื่อคุณเคาะประตู พระองค์จะทรงตอบแน่นอน  ดังนั้นหน้าที่ของคุณคือการแสวงหาการทรงนำจากพระองค์ และวางใจ ที่สำคัญคุณต้องทำมันบ่อย ๆ ให้เป็นนิสัย และให้พระองค์มาเป็นอันดับแรกของวันใหม่ เสมอ

ข้อคิด
พระเจ้าเป็นผู้ให้ทุกสิ่งที่ดีแก่เราเสมอ เราสามารถเข้าหาพระองค์ด้วยคำอธิษฐาน พระเจ้ารู้ความปรารถนาในหัวใจของเราก่อนที่เราจะทูลขอเสียอีก  ที่สำคัญให้เราทูลบอกพระองค์ว่า อย่าให้ทุกสิ่งเป็นไปตามใจของเรา แต่ขอให้ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัยพระองค์   

พระเจ้าทรงห่วงใย ฉันจึงไม่ต้องกังวล

 ขอขอบคุณบทความหนุนใจจาก

thaiodb.org

พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ อ่านมัทธิว 8:1 ถึง 11:1 ​    25 และพวกสาวกมาปลุกพระองค์ ทูลว่า “องค์พร...