วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2566

แสวงหาพระเจ้าอย่างสุดใจ

 


การรู้จักพระทัยของพระเจ้า

พระบิดาของเราทรงสัญญาว่าเมื่อเราต้องการรู้จักพระองค์อย่างแท้จริง เราก็จะได้รู้จักพระองค์

 

11เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใช้เหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็ทิ้งวิถีทางอย่างเด็กไว้เบื้องหลัง 12เวลานี้เราเห็นแต่เงาสะท้อนเลือนรางเหมือนมองในกระจก แต่เวลานั้นเราจะเห็นกันหน้าต่อหน้า เวลานี้ข้าพเจ้ารู้เพียงบางส่วน แต่เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนที่ทรงรู้จักข้าพเจ้าอย่างแจ่มแจ้ง 13ฉะนั้นสามสิ่งนี้ยังคงอยู่คือ ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด

1 โครินธ์ 13:11-13

 

พวกเราส่วนใหญ่ต่างก็ปรารถนาให้คนที่เรารัก รู้จักเราอย่างแท้จริงไม่ใช่แบบผิวเผิน  ซึ่งมันก็สมเหตุสมผลเพราะว่าเราถูกสร้างขึ้นมาตามพระฉายาของพระเจ้า พระองค์ทรงปรารถนาให้เราเข้าใจพระองค์และพระองค์ทรงรักเราอย่างใกล้ชิดเช่นกัน

 

พระองค์ทรงต้องการแบบเดียวกันกับคุณ พระองค์ไม่อยากให้เรารู้จักพระองค์แค่เพียงรายละเอียดผิวเผิน  ดังนั้น การรู้เรื่องพระเจ้าเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ พระองค์ทรงต้องการให้เราเรียนรู้ว่าพระองค์ทรงคิดและรู้สึกอย่างไร สิ่งใดสำคัญสำหรับพระองค์ และพระประสงค์ของพระองค์คืออะไรด้วย แน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่เราจะรู้พระดำริของพระองค์อย่างสมบูรณ์ ในอิสยาห์ 55:9 พระองค์บอกเราว่า ““ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราก็สูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น” ความลึกซึ้งและความกว้างแห่งพระดำริของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่จนเราไม่สามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ในชีวิตนี้

 

อย่างไรก็ตาม เราสามารถเข้าใจพระทัยของพระเจ้าได้ดีขึ้นโดยการแสวงหาพระองค์และเรียนรู้จากพระวจนะของพระองค์ หากเราปรารถนาจะดำเนินในทางของพระองค์ เราต้องรู้จักพระองค์อย่างแท้จริงเสียก่อน เช่นเดียวกับที่เรารู้จักเพื่อนของเราได้ดีขึ้นโดยการแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกัน เราจะเข้าใจพระเจ้าได้มากขึ้นเมื่อเราเดินกับพระองค์นานขึ้น

 

พระเจ้าต้องการให้คุณแสวงหาพระองค์อย่างสุดใจ และพระองค์ทรงสัญญาว่าเมื่อคุณแสวงหา คุณจะพบพระองค์ (เยเรมีย์ 29:13) ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณรู้สึกว่าคุณจำเป็นต้องได้รับการเข้าใจมากขึ้น ให้หันไปหาผู้ที่เข้าใจคุณอย่างถ่องแท้ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ขอให้พระองค์ช่วยให้คุณรู้จักพระองค์ดีขึ้นในทุกๆวัน

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

intouch.org

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


สันติสุขซึ่งเกินความเข้าใจ

 


สันติสุขซึ่งเกินความเข้าใจ

แล้วสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจจะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์

ฟีลิปปี 4:7

 

ในช่วงเดือนนี้ในการไตร่ตรองเรื่องสันติภาพ เราได้ขุดค้นพระคัมภีร์และประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ดำดิ่งสู่ความทรงจำของเรา และทบทวนประสบการณ์ที่ท้าทายที่สุดในชีวิตอีกครั้ง เราได้อธิษฐานและใคร่ครวญ ในโลกนี้เต็มไปด้วยสงคราม ความรุนแรง และความเจ็บปวด เราจึงพยายามค้นหาชาโลม(shalom สันติสุข)ของพระเจ้า

 

วันนี้เรามาดูบางข้อจากฟิลิปปี 4 อีกครั้ง อัครสาวกเปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้จากคุกในกรุงโรม ที่นั่นท่านกำลังรอคำตัดสินจากราชสำนัก แม้จะมีสถานการณ์ที่น่าเศร้าที่ท่านเปาโลถูกจองจำเพราะเห็นแก่พระเยซู จดหมายฉบับนี้มักถูกเรียกว่าสาส์นแสดงความขอบคุณและปีติยินดี

 

ในข้อพระคัมภีร์ของเราวันนี้ ท่านเปาโลได้เรียกร้องให้ผู้อ่านของท่านให้ “ชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า” ก่อนสิ่งอื่น นี่เป็นคำสั่งที่ท่านทำซ้ำคือ : "จงชื่นชมยินดี!" และเหตุผลของการชื่นชมยินดีที่ไม่ยอมแพ้นี้มันง่ายมาก เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตกับเรา ในพระลักษณะของพระเยซูคริสต์และโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรักไม่เคยห่างไกลจากลูกๆ ของพระองค์เลย ท่านเปาโลยังเตือนให้เราอ่อนโยนและห่วงใยผู้อื่น นั่นเป็นวิธีที่เราจะสะท้อนพระคริสต์ให้พวกเขาเห็น และท่านสนับสนุนเราไม่ให้กระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่ให้เราวางใจในพระเจ้าอย่างสุดใจ โดยทูลขอด้วยใจที่รู้ขอบพระคุณ

 

เมื่อเราดำเนินชีวิตด้วยความชื่นชมยินดี ความอ่อนโยน มีใจที่รู้ขอบพระคุณ และวางใจในพระเจ้า สันติสุขของพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจจะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์  วันนี้คุณได้พบความสันติสุขที่น่าทึ่งของพระองค์บ้างหรือไม่?

 

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงเมตตา ขอบพระคุณที่ทรงอยู่ใกล้ โปรดสอนให้ลูกพึ่งพาพระองค์  โปรดนำลูกให้ดำเนินชีวิตด้วยความชื่นชมยินดี ด้วยความอ่อนโยน และวางใจในพระองค์ ขอพระองค์โปรดช่วยเติมเต็มลูกด้วยสันติสุขอันเหลือเชื่อของพระองค์  อธิษฐานในนามพระเยซู อาเมน

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

 todaydevotional.com

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2566

จงชื่นชมยินดีในพระเจ้า

 


ความปรารถนาในใจของคุณ

เมื่อเราเรียนรู้ที่จะชื่นชมยินดีในพระเจ้า เราจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลและค้นพบความปีติที่ไม่อาจบรรยายได้

 

4จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า

และพระองค์จะประทานสิ่งที่ใจของท่านปรารถนา

5จงมอบทางของท่านไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า

จงวางใจในพระองค์ และพระองค์จะทรงทำสิ่งเหล่านี้ คือ

6พระองค์จะทำให้ความชอบธรรมของท่านฉายแสงดั่งรุ่งอรุณ

ให้ความยุติธรรมในคดีของท่านเจิดจ้าดั่งแสงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน

7จงสงบนิ่งต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและเพียรรอคอยพระองค์

อย่าเดือดเนื้อร้อนใจเพราะเหตุที่พวกเขาประสบความสำเร็จในทางของเขา

เมื่อแผนชั่วของเขาลุล่วงไปด้วยดี

สดุดี 37:4-7

 

ความปรารถนาสูงสุดของคุณคืออะไร? เรามักจะอ่านข้อความในวันนี้และคิดว่ามันหมายความว่าพระเจ้าจะประทานสิ่งที่เราต้องการ มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ใครบางคนจะอธิษฐานแล้วพูดเสริมว่า “พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานสิ่งที่ใจปรารถนาให้กับฉัน” แต่ในบริบทที่สำคัญคือ พระคัมภีร์ได้เปิดเผยหลักธรรมของพระเจ้าในการชำระความปรารถนาของเราให้บริสุทธิ์และเรียกร้องการอุทิศตนแด่พระองค์ ความปีติยินดีในพระเจ้าหมายถึงความยินดีในการค้นพบเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระองค์และในการติดตามพระองค์ และในขณะที่เราทำ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงทำให้ความปรารถนาของใจเราสอดคล้องกับพระองค์ ซึ่งจะทำให้เราได้รับพรจากพระองค์

 

เมื่อเรามอบหนทางของเราแด่พระเจ้า เรายอมให้ความคิด เป้าหมาย และวิถีชีวิตของเราถูกกำหนดโดยน้ำพระทัยของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงรัก กล่าวอีกนัยหนึ่ง เรายอมรับสิทธิของพระองค์ที่จะตัดสินว่าความปรารถนาของเราเหมาะสมกับแผนการของพระองค์หรือไม่ ถ้าเราพักผ่อนในพระเจ้าและรอคอยพระองค์อย่างอดทน เราสามารถพึ่งพาพระองค์ในการแก้ไขสถานการณ์ แม้ว่าความปรารถนาที่พระองค์ประทานให้เราดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม เมื่อพระองค์ทรงเป็นรักแรกของเรา ใจของเราจะมุ่งเน้นไปที่การทำให้พระสิริของพระองค์เป็นที่ประจักษ์ด้วยชีวิตของเรา

 

พระเจ้าต้องการให้เรามอบความปรารถนาในใจของเราต่อพระองค์ เมื่อความปรารถนาของเราสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ และในขณะที่เราเรียนรู้ที่จะชื่นชมยินดีในพระองค์และในสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น ความต้องการที่มุ่งความสนใจไปที่ตนเองของเราจะถูกแทนที่ด้วยน้ำพระทัยและพระประสงค์อันสมบูรณ์ของพระองค์ที่มีต่อเรา


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

intouch.org

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


จงต่อสู้อย่างเข้มแข็งและรักษาความเชื่อไว้

 


จงต่อสู้อย่างเข้มแข็งและรักษาความเชื่อไว้

ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเข้มแข็ง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งมาจนถึงเส้นชัย ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว

— 2 ทิโมธี 4:7

 

คุณรู้สึกสงบเมื่อนึกถึงความตายของตัวเองได้หรือไม่? แม้ว่าชีวิตของเรากับพระคริสต์จะไม่มีวันสิ้นสุด แต่เรารู้ว่าการเดินทางของเราบนโลกนี้จะไม่คงอยู่ตลอดไป วันหนึ่งเราจะต้อไปยืนอยู่ต่อหน้าพระผู้สร้างของเรา

 

ใน 2 ทิโมธี 4 อัครสาวกเปาโลใคร่ครวญถึงการประชุมที่สำคัญนี้ ความคิดของท่านเกี่ยวกับวาระสุดท้ายของชีวิตบนโลกนี้เต็มไปด้วยอารมณ์ที่สะเทือนใจและเป็นจินตนาการที่น่าประทับใจ ท่านซื่อสัตย์ต่อเราในยามโศกเศร้า เช่นเดียวกับที่ท่านเข้มแข็งในความหวังของคริสเตียน

 

ขณะที่อัครสาวกเปาโลหวนคิดถึงช่วงชีวิตของท่านในฐานะอัครสาวกของพระคริสต์ ท่านใช้ภาษาทางโลกแห่งกีฬา  กล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเข้มแข็ง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งมาจนถึงเส้นชัย ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว”   ท่านได้รักษาศรัทธา และตอนนี้ท่านพร้อมที่จะรับรางวัลของท่าน นั่นคือ มงกุฎแห่งความชอบธรรม

 

ตลอดการปฏิบัติศาสนกิจ อัครสาวกเปาโลวางใจในพระผู้ช่วยให้รอด ตอนนี้ท่านก็กำลังทำเช่นเดียวกันกับเมื่อท่านใกล้จะสิ้นอายุขัยบนโลกนี้ และท่านก็ตั้งตารอกับการผจญภัยครั้งใหม่ในที่ประทับของพระเจ้า

 

เมื่อชีวิตของเราบนโลกนี้ดำเนินไปตามครรลองของมัน เราจะสามารถพูดได้ไหมว่าเราได้ต่อสู้มาอย่างดีแล้วและได้รักษาความเชื่อของเราเอาไว้อย่างดีแล้ว?แล้ว เราจะได้รับมงกุฎแห่งความชอบธรรมหรือไม่? คำตอบคือ  โดยอาศัยพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น

 

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา โปรดช่วยเราให้พร้อมเสมอที่จะพบพระองค์ โปรดนำเราไปในทางของพระองค์เสมอ และทำให้เรามีค่าควรในพระคริสต์เพื่อรับมงกุฎแห่งความชอบธรรมที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้เรา  อธิษฐานในนามพระเยซู อาเมน

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

 todaydevotional.com

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2566

รักพระเจ้าด้วยการอ่านพระวจนะของพระองค์

 


รักพระเจ้าด้วยการอ่านพระวจนะของพระองค์

เมื่อเราให้เวลากับพระคำ ความเชื่อของเราจะลึกซึ้งยิ่งขึ้นและความรักของเราที่มีต่อพระเจ้าก็เพิ่มขึ้น

 

105พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับย่างก้าวของข้าพระองค์

เป็นแสงสว่างส่องทางของข้าพระองค์

106ข้าพระองค์ได้ปฏิญาณและยืนยันไว้

ว่าข้าพระองค์จะปฏิบัติตามบทบัญญัติอันชอบธรรมของพระองค์

107ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ทุกข์ทรมานยิ่งนัก

ขอทรงรักษาชีวิตของข้าพระองค์ตามพระวจนะของพระองค์

108ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงรับคำสรรเสริญด้วยใจจากปากของข้าพระองค์

และทรงสอนบทบัญญัติของพระองค์แก่ข้าพระองค์

109แม้ข้าพระองค์ต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยงภัยอยู่เสมอ

ข้าพระองค์ก็จะไม่ลืมบทบัญญัติของพระองค์

110คนชั่วร้ายวางกับดักล่อข้าพระองค์

แต่ข้าพระองค์ไม่ได้หลงเตลิดจากข้อบังคับของพระองค์

111กฎเกณฑ์ของพระองค์เป็นมรดกนิรันดร์ของข้าพระองค์

และเป็นความชื่นชมยินดีในใจของข้าพระองค์

112ข้าพระองค์ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทำตามกฎหมายของพระองค์

จนถึงที่สุด

-สดุดี 119:105-112

 

ไม่ว่าชีวิตจะวุ่นวายแค่ไหน เราก็จะหาเวลาให้กับสิ่งที่สำคัญสำหรับเราได้เสมอ และแน่นอน สิ่งที่ควรทำที่สุดคือการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่พระเจ้าทรงให้ความสำคัญ เช่น การอ่านพระวจนะของพระองค์

 

ต่อไปนี้เป็นแบบฝึกหัดเล็กๆ น้อยๆ ที่จะช่วยให้คุณตระหนักว่าคุณสามารถให้เวลาสำหรับอ่านพระคัมภีร์ในแต่ละวันได้ ถ่ายสำเนาหนังสือฟิลิปปี ตัดออกเป็นส่วนๆ แล้วติดเทปไว้ตามคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์หรือหนังสือโปรดของคุณ   ประเด็นก็คือ หากเราสารมาถใช้เวลาทำสิ่งที่เราชื่นชอบได้ เราก็สามารถอ่านหนังสือฟีลิปปีได้จนจบเล่มในระยะเวลาที่เท่ากัน

 

แล้วทำไมเราไม่เริ่มกันเลยละ? เปิดพระคัมภีร์ของคุณในพระธรรมฟิลิปปีและขอให้พระเจ้าตรัสกับคุณ ขณะที่คุณอ่าน ให้อธิษฐานเหนือถ้อยคำที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ดึงความสนใจของคุณ และฟังสิ่งที่พระเจ้าต้องการตรัสกับคุณ

 

การอธิษฐานผ่านพระวจนของพระเจ้าช่วยยกระดับชีวิตฝ่ายวิญญาณไปสู่ระดับใหม่ คุณจะพบว่าตัวเองต้องการก้าวผ่านความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับความเชื่อ และ ยิ่งไปกว่านั้น คุณจะอยากเชื่อฟังสิ่งที่คุณกำลังอ่านมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคุณจะตกหลุมรักผู้เขียนหนังสือมากขึ้นแน่นอน

 

เป็นความจริงที่พระเจ้าทรงรักทุกคนและทรงรับผู้เชื่อเป็นบุตรธิดาของพระองค์ แต่มีพรยิ่งกว่านั้นรอผู้ที่รักษาพระบัญญัติของพระองค์ (อ่าน ยอห์น 14:21) เพราะพวกเขาจะเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับพระเจ้าและวิถีทางของพระองค์


พระธรรม ยอห์น 14:21

ผู้ใดที่ยึดถือและเชื่อฟังคำบัญชาของเรา ผู้นั้นก็คือผู้ที่รักเรา พระบิดาของเราจะทรงรักผู้ที่รักเราและเราเองก็จะรักเขาและจะสำแดงตัวเราเองแก่เขาด้วย”


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

intouch.org

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


พระกิตติคุณโดยสังเขป



พระกิตติคุณโดยสังเขป

 

“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์

ยอห์น 3:16

 

การปิดล้อมเลนินกราด (ปัจจุบันคือเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก) เป็นหนึ่งในการปิดล้อมที่ยาวนานที่สุดและอันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองกำลังนาซีได้จับตัวประกันในเมืองนี้เป็นเวลากว่า 2 ปี ซึ่งส่งผลกระทบต่อสายการผลิตอย่างมาก สิ่งนี้ส่งผลให้เกิดความอดอยากอย่างรุนแรง และพลเรือนกว่า 800,000 คนเสียชีวิต

 

ผู้คนที่รอดชีวิตจากการปิดล้อมไม่ได้ถือเอาหารประจำวันของพวกเขาเป็นเป้าหมายอีกต่อไป แม้หลายปีต่อมา พวกเขาจะรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนอาหารและบางครั้งก็ใช้วิธีกักตุนบ้างก็ตาม แต่พวกเขาจะอารมณ์เสียมากเมื่อเห็นอาหารเหลือทิ้ง(กินทิ้งกินขว้าง)

 

วันนี้เรากำลังพิจารณาพระคำที่น่าจะเป็นข้อที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในพระคัมภีร์—ยอห์น 3:16 มันถูกเรียกว่า "พระกิตติคุณโดยสังเขป" เพราะเป็นการสรุปทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำเพื่อเรา แต่ในบางพื้นที่ของโลกพระคำข้อนี้ได้กลายเป็นสิ่งที่คุ้นเคยเสียจนบางครั้งถูกมองข้ามความหมายที่ลึกซึ้ง

 

สำหรับคนที่ตระหนักถึงความต้องการพระเจ้า ข้อความนี้มีค่าพอๆ กับขนมปังก้อนหนึ่งสำหรับเหยื่อของความอดอยาก เพราะด้วยความรักที่พระองค์มีต่อมนุษยชาติ พระเจ้าพระบิดาจึงส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาช่วยเรา ตอนนี้บรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์จะรอดพ้นจากความตายและการถูกทำลาย พวกเขา “จะไม่พินาศ”

 

ให้เรารักษาความจริงนี้ไว้ทุกขณะของชีวิต!

 

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาบนสวรรค์ ขอบพระคุณที่ทรงส่งพระบุตรมาช่วยเรา การรู้จักพระเยซูทำให้ใจของลูกสงบ โปรดช่วยลูกให้มีชีวิตแห่งการขอบคุณสำหรับความรอดของพระองค์! อธิษฐานในนามพระเยซู อาเมน


ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

 todaydevotional.com

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


วันอังคารที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2566

ความรักและการเชื่อฟัง

 


มาตรวัดความรักของเรา

เราไม่ได้เชื่อฟังพระเจ้าเพียงเพื่อต้องการพิสูจน์ความรักของเรา แต่เมื่อใดก็ตามที่เรารักพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจ เราจะต้องการเชื่อฟังและอยากทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสสอนไว้มากขึ้นเรื่อยๆไปตลอดชีวิตของเรา

 

23พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าผู้ใดรักเราเขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา 24ผู้ที่ไม่รักเราจะไม่เชื่อฟังคำสอนของเรา ถ้อยคำซึ่งพวกท่านได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเราเองแต่เป็นของพระบิดาผู้ทรงส่งเรามา

อ่านยอห์น 14:15-24

 

เป็นเรื่องง่ายที่จะบอกว่าเรารักพระเจ้า แต่การกระทำของคุณได้แสดงว่าคุณรักพระองค์บ้างหรือไม่? มีคำสุภาษิตโบราณที่เราเคยได้ยินกันบ่อยๆและเป็นความจริง คือ : การกระทำย่อมดังกว่าคำพูด

 

มาตรวัดความรักของเราคือการเชื่อฟังคำสั่งและหลักการของพระเจ้า อันที่จริง พระเยซูเน้นประเด็นนี้ถึงสามครั้งในพระคัมภีร์ตอนนี้ (ข้อ 15, 21, 23) นี่ไม่ใช่แนวคิดใหม่สำหรับเหล่าสาวกเช่นกัน พวกเขาคงคุ้นเคยกับความเชื่อมโยงในพระคัมภีร์ระหว่างความรักและการเชื่อฟัง (เนหะมีย์ 1:5; ดาเนียล 9:4) อันที่จริง พระเจ้าทรงเน้นย้ำเสมอว่าวิธีแสดงความจงรักภักดีของเราคือการทำตามที่พระองค์ตรัส (เฉลยธรรมบัญญัติ 8:11; เฉลยธรรมบัญญัติ 10:12; เฉลยธรรมบัญญัติ 13:3-4)

 

ความมุ่งมั่นที่ไม่เต็มใจอาจดูดีสำหรับคนอื่น แต่พระเจ้าทรงทราบความแตกต่างเพราะพระองค์ทรงมองเห็นสิ่งที่อยู่ในจิตใจ นักเทศน์สามารถเทศนาได้เป็นพันคำเทศนาโดยที่เขาไม่ได้รักพระเจ้าก็มี ละในฐานะผู้เชื่อ เราอาจชูมือขึ้นเพื่อนมัสการ หรือ สนับสนุนพันธกิจ  หรือกล่าวถ้อยคำที่สวยงามตามพระคัมภีร์ได้อย่างถูกต้อง แต่ถ้าเราไม่ปฏิบัติตามคำสั่งจากพระวจนะของพระเจ้า ก็เหมือนความเชื่อที่ตายแล้ว การรักพระเจ้าหมายถึงการเชื่อฟังพระองค์และนำมาปฏิบัติให้เกิดผลจริง

 

ดังนั้น เราจึงต้องฉลาดที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้าที่บอกไว้กับโยชูวา นั่นคือการใคร่ครวญพระคัมภีร์ทั้งกลางวันและกลางคืน (โยชูวา 1:8) การอ่านพระคัมภีร์ทุกวันช่วยให้เรารู้ว่าเราจะเชื่อฟังพระองค์ได้อย่างไร ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะรักษาความสัตย์ซื่อและเป็นการแสดงความรักต่อพระบิดาของเราได้ดีที่สุด

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

intouch.org

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


อยู่อย่างสงบสุขและเป็นผู้บริสุทธิ์

 


อยู่อย่างสงบสุขและเป็นผู้บริสุทธิ์

จงเพียรพยายามที่จะอยู่อย่างสงบสุขร่วมกับคนทั้งปวงและเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้วก็ไม่มีใครจะได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย

ฮีบรู 12:14

 

รายการทอล์คโชว์ชื่อ The Hard Questions ได้มีการถ่ายทอดสดทางวิทยุ  และเราตอบคำถามของผู้ฟังเกี่ยวกับพระคัมภีร์และศาสนาคริสต์

 

แต่บางครั้งเราจะได้ยินผู้ฟังร้องเรียนเข้ามามากกว่าเป็นการสอบถาม มีผู้โทรคนหนึ่งเล่าให้ฟังเมื่อเร็วๆ นี้ว่าครอบครัวของเธอออกจากคริสตจักรเพราะคนในคริสตจักรมีความแตกแยกและทะเลาะเบาะแว้งกันมากมาย ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าความขัดแย้งเหล่านี้ได้บั่นทอนศรัทธาของเธอ

 

ในการอ่านคัมภีร์ของเราสำหรับวันนี้ ผู้เขียนฮีบรูขอให้ผู้อ่าน “จงเพียรพยายามที่จะอยู่อย่างสงบสุขร่วมกับคนทั้งปวงและเป็นผู้บริสุทธิ์” นี่ไม่ใช่กิจกรรมทางเลือกระยะสั้น  แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องใช้ความมุ่งมั่นไปตลอดชีวิตของเรา เพราะคนที่มีสันติกับพระเจ้ามีหน้าที่รับผิดชอบในการแสวงหาสันติในความสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วย คุณเห็นไหมว่า เมื่อเราแสวงหาสันติสุขกับผู้อื่น เราได้สะท้อนพระลักษณะของพระเจ้า ในความรักและมิตรภาพของเรา ผู้คนจะเห็นภาพสะท้อนถึงพระสิริของพระเจ้า และเราเองก็เติบโตในพระคริสต์

 

เช่นเดียวกับความบริสุทธิ์ส่วนบุคคลของเรา การขาดความบริสุทธิ์นำไปสู่บาปที่แยกเราออกจากพระเจ้า นอกจากนี้ยังทำให้เราเป็นพยานที่ไม่ซื่อสัตย์ และเราจะกลายเป็นสิ่งกีดขวางสำหรับคนอื่นๆ ที่กำลังค้นหาพระเจ้าหรือกำลังพยายามเติบโตในศรัทธา

 

คุณรู้จักพระเจ้าแห่งสันติหรือไม่? ชีวิตของคุณสะท้อนสิ่งนั้นหรือไม่?

 

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ขอทรงนำข้าพระองค์ให้สะท้อนถึงความสงบสุขและความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ในแบบที่พระองค์ทรงพอพระทัย โปรดช่วยให้ข้าพระองค์เป็นพยานที่ซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น  อธิษฐานในนามพระเยซู อาเมน

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

 todaydevotional.com

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2566

การจดจ่อกับพระเจ้า

 


การจดจ่อกับพระเจ้า

คุณควรทำอย่างไรต่อไป หากคุณได้พยายามทำเต็มที่แล้ว?

 

1แต่ดาวิดคิดว่า “ไม่วันใดก็วันหนึ่งเราจะต้องพินาศด้วยน้ำมือของซาอูล เราหนีไปยังดินแดนฟีลิสเตียเป็นดีที่สุด ซาอูลจะได้เลิกตามล่าเราไปทั่วอิสราเอล และเราจะรอดพ้นจากพระหัตถ์ของพระองค์”

2ดาวิดกับพรรคพวกหกร้อยคนจึงพากันไปเข้าเฝ้ากษัตริย์อาคีชบุตรมาโอคแห่งกัท 3ดาวิดกับพวกไปอาศัยอยู่กับอาคีชที่กัท ต่างก็พาครอบครัวไปด้วย ดาวิดมีภรรยาสองคนคืออาหิโนอัมแห่งยิสเรเอลและอาบีกายิลแห่งคารเมลภรรยาม่ายของนาบาล 4เมื่อซาอูลทราบว่าดาวิดหนีไปที่กัทแล้ว จึงเลิกติดตามดาวิด

5แล้วดาวิดทูลอาคีชว่า “หากข้าพระบาทเป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของฝ่าพระบาท ขอทรงโปรดให้ข้าพระบาทอาศัยอยู่ในที่สักแห่งหนึ่งในชนบท ควรหรือที่ข้าพระบาทจะอยู่ในเมืองหลวงกับฝ่าพระบาท?”

6ในวันนั้นอาคีชจึงประทานเมืองศิกลากแก่ดาวิด เมืองนั้นจึงขึ้นกับกษัตริย์แห่งยูดาห์ตั้งแต่นั้นมา 7ดาวิดอาศัยอยู่ในแผ่นดินฟีลิสเตียเป็นเวลาหนึ่งปีกับสี่เดือน

1 ซามูเอล 27:1-7

 

ดาวิดเหนื่อยกับการถูกไล่ล่า หลังจากวิ่งหนีกษัตริย์ซาอูลมาหลายปี และไม่มีทีท่าว่าอะไรๆ จะเปลี่ยนไป ดาวิดเริ่มสิ้นหวัง แม้ว่าพระเจ้าสัญญาว่าจะทำให้เขาประสบความสำเร็จ แต่ความไว้ใจของเขาก็สั่นคลอน ซึ่งบางครั้งเราเองก็รู้สึกแบบนั้นไม่ใช่เหรอ? ทั้งที่เรารู้ว่าพระเจ้าได้ทรงสัญญาจะมอบสิ่งที่ดีไว้สำหรับผู้ที่รอคอยพระองค์ และทุกคำสัญญาของพระองค์นั้น “อาเมน” (เป็นไปเช่นนั้น) ในพระคริสต์ (2 โครินธ์ 1:20) แต่ความเชื่อของเราก็ยังคงสั่นคลอนเช่นเดียวกับดาวิดอยู่ดี

 

กษัตริย์ในอนาคตของอิสราเอล(ดาวิด)ได้ประเมินทางเลือกของเขาด้วยตนเองและเลือกตัวเลือกที่ "ดีที่สุด" โดยสร้างพันธมิตรกับพวกฟิลิสเตียที่ไร้พระเจ้า ดาวิดก้าวออกจากพระประสงค์ของพระเจ้าและเข้าร่วมกับฟิลิสเตียที่เป็นศัตรูกับประชากรของพระเจ้า

 

ข่าวดีสำหรับวันนี้ก็คือเมื่อใดก็ตามที่คุณถึงจุดต่ำสุดเหมือนดาวิด ให้คุณหันกลับมาหาพระเจ้า  การจดจ่อกับพระเจ้าสามารถนำคุณออกจากความท้อแท้และไปสู่การประทับอยู่ของพระองค์ จงสารภาพว่าคุณขาดศรัทธา และขอรับการให้อภัยจากพระเจ้า และปฏิญาณว่าจะติดตามพระองค์ ต่อไป และจะเสริมสร้างตัวเองในพระเจ้า: ให้เราระลึกถึงความสัตย์ซื่อในอดีตของพระองค์ ใคร่ครวญถึงฤทธานุภาพของพระองค์ และระลึกถึงคำสัญญาของพระองค์ สุดท้ายนี้ ให้คุณตัดสินใจวางใจพระเจ้าสำหรับอนาคต และขอความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ วันนี้คุณจะไม่เลือกเดินไปตามทางที่จะนำไปสู่พระบิดาหรือ?

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

intouch.org

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


ผู้รักษาสันติภาพเพื่อพระคริสต์

 


ผู้รักษาสันติภาพเพื่อพระคริสต์

 

ถ้าเป็นได้เท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่ร่วมกับทุกคนอย่างสงบสุข

โรม 12:18

 

ความพยายามรักษาสันติภาพของสหประชาชาติเริ่มขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2491 ตั้งแต่นั้นมา เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพของสหประชาชาติได้เข้าร่วมในภารกิจ 72 ครั้งทั่วโลก ซึ่งสิบกว่าภารกิจยังคงดำเนินต่อไปในปัจจุบัน

 

ในฐานะคริสเตียน เราถูกเรียกให้เป็นผู้รักษาสันติภาพด้วยเช่นกัน การเรียกนี้มาในบริบทของคำแนะนำในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการแสดงความรักในการกระทำ และในพระคริสต์ เราถูกเรียกให้อยู่ในความรักของเราอย่างแท้จริงและปฏิบัติได้จริง ซึ่งทำผ่านการอุทิศตนผ่านข้อคิดฝ่ายวิญญาณร่วมกับการอธิษฐาน มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเอื้ออาทร มีความกระตือรือร้นทางจิตวิญญาณ มีความเห็นอกเห็นใจ และแสดงความมีน้ำใจ

 

ขณะที่อัครสาวกเปาโลพูดถึงสิ่งเหล่านี้ ท่านกระตุ้นให้เรา “อยู่อย่างสันติกับทุกคน” และท่านรับรองสิ่งนี้โดยกล่าวว่า "ถ้าเป็นไปได้" และ "เท่าที่ขึ้นอยู่กับคุณ" เราต้องนำมาปฏิบัติให้เกิดผลในความสัมพันธ์ของเรากับผู้อื่น

 

การปฏิบัติภารกิจแรกของกองกำลังรักษาสันติภาพแห่งสหประชาชาติคือการรักษาการหยุดยิงในช่วงสงครามอาหรับ-อิสราเอล พ.ศ. 2491 สี่สิบปีต่อมา กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ และภารกิจของพวกเขาในตะวันออกกลางยังคงดำเนินอยู่จนถึงทุกวันนี้

 

ในความเป็นจริงแล้วการอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคนตลอดเวลาอาจเป็นไปไม่ได้สำหรับเรา แต่เราต้องพยายามอย่างมากในการอยู่อย่างสันติในความสัมพันธ์กับผู้อื่น เพราะนี่เป็นการทรงเรียกตลอดชีวิตที่บางครั้งอาจดูยากและไม่น่าเป็นไปได้ แต่ในการรักษาสันติภาพของเรา เรายังมีรางวัลรออยู่ นั่นคือ สันติสุขและความโปรดปรานของพระเจ้า

 

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยให้ลูกรักผู้อื่นเหมือนที่พระองค์ทรงรักลูกด้วยความสงสารและห่วงใยเสมอมา  ขอโปรดประทานสติปัญญาให้ลูกเป็นผู้รักษาสันติภาพในความสัมพันธ์ประจำวันของลูกกับคนอื่นๆ อธิษฐานในนามพระเยซู อาเมน

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

 todaydevotional.com

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2566

สานุศิษย์ของพระเยซู

 



ก้าวไปด้วยกัน

ถ้าเราจะสร้างสาวกจากทุกชาติ เราต้องเป็นสาวกในชุมชนท้องถิ่นก่อน

 

เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการอ่านข้อคิดฝ่ายวิณญาณนี้ ให้คุณเผื่อเวลาไว้อ่านพระคัมภีร์ที่อ้างถึงตลอดด้วยนะคะ

 

การสร้างสาวกจากทุกชาติไม่ใช่เรื่องเล็ก - 2,000 ปีหลังจากพระเยซูประทานพระมหาบัญชา (มัทธิว 28:18-20) เรายังคงดำเนินการอยู่ แต่เราไม่สามารถปล่อยให้ขนาดของงานมาบดบังความสามารถของเราที่จะได้ยินและรับของกำนัลจากคำกล่าวลาของพระเยซู “ และแน่นอน เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปตราบจนสิ้นยุค” (ข้อ 20)

 

จำไว้ว่าการที่พระเยซูอยู่กับเราเป็นทั้งหนทางและจุดจบ จุดประสงค์ของความพยายามในการเป็นสาวกทั้งหมดของเราคือการเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์อย่างสมบูรณ์ และไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม การเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ไม่ใช่การแสวงหาเพียงลำพัง แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชุมชน

 

“เหล็กลับเหล็กได้” ดังที่สุภาษิต 27:17 ได้บอกเราไว้ และปัญญาจารย์4:12 กล่าวว่า “เชือกสามเส้นไม่ขาดออกจากกันโดยเร็ว” การเป็นสานุศิษย์คือการเดินทางที่ยาวนานตลอดชีวิต และไม่ใช่เส้นทางที่เราทำได้ด้วยตัวเอง และถ้าเราจะสร้างสาวกจากทุกชาติ เราต้องเป็นสาวกในชุมชนท้องถิ่นก่อน

 

ข้อใคร่ครวญ

• ใคร่ครวญถึงเดือนที่ผ่านมา: คุณสังเกตเห็นการทรงสถิตของพระเจ้าอย่างไรในการเดินทางการเป็นสาวกของคุณ? เพื่อนหรือครอบครัวมีส่วนในการเจริญเติบโตของคุณหรือไม่? คุณต้องการทำอะไรที่แตกต่างออกไปหรือเปล่า?

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

intouch.org

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ อ่านมัทธิว 8:1 ถึง 11:1 ​    25 และพวกสาวกมาปลุกพระองค์ ทูลว่า “องค์พร...