วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563

เพื่อพระสิริของพระคริสต์




อ่านพระคัมภีร์ 365 วัน 
วันที่ 269 เพื่อพระสิริของพระคริสต์
5ในทำนองเดียวกันท่านผู้อ่อนอาวุโส จงยอมเชื่อฟังบรรดาผู้ที่อาวุโสกว่า อันที่จริงให้ท่านทุกคนถ่อมใจต่อกันและกัน เพราะว่า
พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง
แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจ”
6เพราะฉะนั้นพวกท่านจงถ่อมใจลงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าเพื่อพระองค์จะทรงยกท่านขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร  
1 เปโตร 5: 5-6

ในฐานะคริสตชนเรามีเหตุผลลึกซึ้งที่จะถ่อมตน: เพราะเราได้รับการเปลี่ยนใหม่และเราได้รับความรอดโดยพระเยซูคริสต์และความรอดนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการทำดีของเรา แต่เพราะพระคุณของพระเจ้า ดังนั้นความรอดไม่ได้เกิดจากผลที่เรา "ทำเอง"; แต่เป็นเพราะ "พระเจ้าที่ทำ" “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก” ด้วยคำๆ นี้ พระเยซูคริสต์จึงได้ยอมสละชีวิตบนไม้กางเขนเพื่อช่วยกอบกู้เรา และด้วยการตายนี้ เราจึงได้รับโอกาส โอกาสแห่งความหวังครั้งใหม่ในการดำเนินชีวิต และคุณมีสิทธิที่จะได้รับ และถ้าเช่นนั้นคุณจะโอ้อวดตัวคุณเองได้อย่างไร?

โดยทั่วไปแล้ว  เรามักจะเข้าใจว่า ความถ่อมใจ คือการถ่อมตัวลง โดยปกปิดความรู้หรือความสามารถของตน   แต่ความถ่อมใจที่พระคัมภีร์พูดนั้น คือ คนที่เข้าใจตัวเองว่า ไม่มีอะไรที่ดีพอ การได้ดูแลวิญญาณของคนอื่นด้วยใจที่ถ่อมลง   ความถ่อมใจแท้เป็นคุณความดีที่เกิดมาจากประสบการณ์พระเจ้า และกางเขนของพระเยซูคริสต์     ความถ่อมใจแท้ คือ การติดตามแบบอย่างของพระเยซูคริสต์  เพราะเหตุนี้ ท่านนักบุญเปาโลบอกว่า “จงมีน้ำใจที่มีในพระเยซูคริสต์” ซึ่ง  หมายความว่า จงมีท่าทีที่พระเยซูมีอยู่   ท่าทีที่พระเยซูมีอยู่นั้นเป็นท่าทีแห่งความถ่อมพระทัยที่เสียสละพระองค์เอง

ข้อคิด
พระเจ้าทรงโปรดปรานคนที่ถ่อมใจ   ในวันนี้ เราควรเป็นเช่นนั้น  เราทุกคนมีเหตุผลที่จะไว้ใจในตัวเอง  เช่น ตระกูล ความฉลาด รูปร่างงาม การศึกษา ชื่อเสียง เกียรติยศ ฐานะในสังคม ความรวย เป็นต้น   ดังนั้นเราจึงสามารถอ้างสิทธิของตนได้  เราสามารถอวดในสิ่งที่เรามีอยู่  แต่เราควรละทิ้งสิ่งเหล่านี้ด้วยตนเอง เพื่อพระสิริของพระคริสต์ และเพื่อจะสร้างคุณงามความดีของพระศาสนจักรตามแบบอย่างของพระเยซู นี่แหละ คือความถ่อมใจแท้

ภาชนะว่างเปล่า เก็บน้ำได้ฉันใด   เมื่อเราถ่อมใจลง  จะได้รับพระพรแห่งสวรรค์ได้ฉันนั้น  พระคัมภีร์บอกว่า “...พระเจ้าทรงเป็นปฎิปักษ์กับคนเหล่านั้นที่ถือตัวจองหอง แต่พระองค์ทรงสำแดงพระคุณแก่คนที่อ่อนน้อมถ่อมตน” 

ขอขอบคุณ บทความหนุนใจจาก
tyrannusthai.com

ความสัมพันธ์ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของความซื่อสัตย์




อ่านพระคัมภีร์ 365 วัน 
 วันที่ 268 ความสัมพันธ์ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของความซื่อสัตย์
คนที่เดินอยู่ในทางเที่ยงตรงจะเดินอย่างมั่นคง
ส่วนคนที่เดินอยู่ในทางคดจะถูกเปิดโปง
สุภาษิต 10: 9

การสร้างสัมพันธภาพที่ยั่งยืนสร้างขึ้นอยู่บนพื้นฐานของความซื่อสัตย์และความไว้วางใจ มีการกล่าวหลายครั้งว่าความซื่อสัตย์เป็นวิถีทางที่ดีที่สุด สำหรับผู้เชื่อเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทราบว่าความซื่อสัตย์เป็นนโยบายของพระเจ้า และถ้าเราต้องเป็นผู้รับใช้ที่คู่ควรกับพระเยซูคริสต์ผู้ช่วยให้รอดของเราเราก็ต้องซื่อสัตย์และตรงไปตรงมาในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น

บางครั้งการถือความซื่อสัตย์ก็เป็นเรื่องยาก บางครั้งความซื่อสัตย์ก็นำมาซึ่งความเจ็บปวด บางครั้งความซื่อสัตย์ทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจ ถึงแม้เราจะรู้สึกไม่สบายบ้างในบางสถานการณ์ แต่เราต้องทำให้ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตทั้งหมดของเรา ไม่เช่นนั้นเราจะเปิดโอกาสและเชื้อเชิญความทุกข์ที่ไร้ความจำเป็นเข้ามาในชีวิตของเราเองและในชีวิตของคนที่เรารักด้วย

 พระวจนะของพระเจ้าได้ให้เหตุผลที่ชัดเจนแก่เราในการ “เดินในความสุจริต” (สดุดี 26:11) ผู้ที่ซื่อสัตย์ก็มีชีวิตที่สงบมั่นคง ซึ่งผู้ที่“ทำทางของตนให้ชั่ว” ไม่มี (สุภาษิต 10:9) ผู้ติดตามพระเจ้าที่ดำรงชีวิตอย่างซื่อสัตย์ ก็ได้รับการสงวนไว้เพราะเขาวางใจในพระเจ้า เพราะเขารอคอยให้พระเจ้ากระทำกิจในชีวิตของเขา แทนที่จะวิ่งนำหน้าพระองค์ (สดุดี 25:21) และผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างซื่อสัตย์จะได้รับการทรงนำและหนทางที่ชัดเจน (สุภาษิต 11:3)



ข้อคิด
จงระวังคำโกหก  ไม่ว่าจะโกหกมากหรือโกหกน้อย มันก็คือการโกหก ไม่ว่าจะโกหกเพื่อให้คนอื่นสบายใจ นั่นก็คือการโกหก  คำโกหกสีขาวมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเป็นสีดำได้เสมอ ... และพวกมันก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ในพระคำภีร์  มัทธิว 5:37 กล่าวไว้ว่า กลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงการโกหกคือ  ” ใช่ก็จงว่า ‘ใช่’ ไม่ก็จงว่า ‘ไม่’ พูดเกินนี้ไปก็มาจากมาร”

ขอขอบคุณ บทความหนุนใจจาก
thaiodb.org

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2563

การรักเงิน




อ่านพระคัมภีร์ 365 วัน 
วันที่ 267 การรักเงิน
เพราะการรักเงินเป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งปวง เพราะเห็นแก่เงินนี่แหละบางคนจึงเตลิดจากความเชื่อและทำให้ตัวเองต้องปวดร้าวด้วยความทุกข์โศกนานา
1 ทิโมธี 6:10

สังคมทุกวันนี้เป็นสังคมวัตถุนิยม เงินจึงเป็นเหมือนพระเจ้าเพราะเงินสามารถดลบันดาลให้คนมีวัตถุสิ่งของมากมายตามที่ใจต้องการ เงินจึงกลายเป็นแรงผลักดันให้คนอยากร่ำรวยอย่างรวดเร็ว และยังทำให้คนมากมายยอมทำผิดศีลธรรม ยอมทำผิดกฏหมาย ความโลภเหล่านี้ทำให้คนยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน

แท้จริงแล้วในพระคัมภีร์ ได้พูดถึงเรื่องเงินทองมากกว่า 700 ครั้ง และหลายคำอุปมาของพระเยซูก็เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินนั่นแสดงให้เห็นว่า “เงิน”  เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเรา และเราก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า “เงิน” เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการดำรงชีวิต แต่ “เงิน”จะเป็นสิ่งที่ดีหรือร้าย
ก็ต้องขึ้นอยู่กับมุมมองของเราที่มีต่อเงินทองเหล่านั้น และต่อไปนี้คือท่าทีที่เราควรมีต่อเรื่อง “เงินทอง” ซึ่งตามหลักการของพระคัมภีร์แล้ว ข้อแรกเลยที่เราต้องตระหนักว่า...“พระเจ้าเป็นเจ้าของเงินทองข้อที่สองมา เราต้องตระหนักว่า“เงินทองเป็นของชั่วคราว”เป็นสิ่งที่เราใช้ในขณะที่เราอยู่ในโลกนี้เท่านั้น เพราะเมื่อจากโลกนี้ไปเราก็ไม่สามารถเอาสิ่งใดไปด้วยได้แม้แต่ชิ้นเดียว

เงินไม่ใช่ความชั่วร้าย แต่การบูชาเงินต่างหากคือความชั่วร้าย ดังนั้นวันนี้เมื่อคุณจัดลำดับความสำคัญสำหรับชีวิตคุณได้แล้ว โปรดจำไว้ว่าพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ และเงินทองนั้นไม่ควรยิ่งใหญ่เหนือพระเจ้า ถ้าเรานมัสการพระเจ้าเราก็เป็นสุข แต่ถ้าเรานมัสการ "เงินทอง" เราจะได้รับผลของการถูกลงโทษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากการจัดลำดับความสำคัญที่ผิดพลาดของเรา - และการลงโทษของเราย่อมมาถึงในไม่ช้า 

ข้อคิด
เมื่อคุณตระหนักว่าโลกนี้ไม่ใช่บ้านที่ถาวรของคุณ ความเข้าใจความจริงในข้อนี้จะเปลี่ยนวิธีคิดของคุณเกี่ยวกับเงิน ... และวิธีการใช้จ่ายของคุณอย่างสิ้นเชิง  เงินทอง เป็นพระพรที่พระเจ้ามอบให้กับเราเพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตในโลกนี้      ให้เราไว้วางใจในการเลี้ยงดูของพระเจ้าแทนการไว้วางใจในเงินทอง เพราะพระเจ้าทรงทราบดีว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิตของเรา พระองค์ยังได้ท้าทายให้เราแสวงหาแผ่นดิน และความชอบธรรมของพระองค์ก่อนสิ่งอื่นใด แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้เราเอง เพราะแม้แต่นกในอากาศ พระเจ้ายังดูแล แล้วเราที่เป็นลูกของพระองค์ล่ะ?พระองค์จะไม่ทรงห่วงใยและดูแลเราดีกว่านกหรือ?

การที่เราจะเอาชนะ"การรักเงินทองได้"ก็คือเราต้องรักพระเจ้าให้มากๆ รักสุดจิตสุดใจ สุดกำลังสุดความคิด แล้วเราจะปลอดภัยจากความโลภในเงินทอง ให้เราเรียนรู้ที่จะใช้เงินทองที่พระเจ้าอวยพรให้กับเราทำความดีเพื่อส่งต่อความรักและพระพรของพระองค์ให้กับเพื่อนมนุษย์เพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์  

ขอขอบคุณ บทความหนุนใจจาก
เฟสบุคCBN Thailand
 jaisamarnchurch.org

การอดทนกับตัวเอง


อ่านพระคัมภีร์ 365 วัน  

วันที่ 266 การอดทนกับตัวเอง
เพิ่มการบังคับตนเข้ากับความรู้ เพิ่มความอดทนบากบั่นเข้ากับการบังคับตน เพิ่มการดำเนินในทางพระเจ้าเข้ากับความอดทนบากบั่น
2 เปโตร 1: 6

เพราะยุคปัจจุบันเป็นยุคแห่งความเร็วสูง   จะทำอะไรก็ตาม ผู้คนมักจะทำอย่างง่ายๆ และเน้นความรวดเร็ว ความเร็วสูงทำให้ความอดกลั้นใจของคนปัจจุบันลดลงไปมาก การอดทนกับคนอื่นเราอาจมองว่าเป็นเรื่องยากแล้ว แต่บางครั้งเราก็พบว่าการอดทนกับตัวเองมันยากกว่าอีกหลายเท่า อาจเพราะเรามีความคาดหวังและตั้งเป้าหมายไว้สูง ว่าเราต้องการบรรลุสิ่งต่าง ๆ ในตอนนี้ วันนี้ เวลานี้ ต้องทันทีไม่ใช่ในภายหลัง และแน่นอนว่าเราต้องการให้หลายสิ่งในชีวิตของเราเป็นไปตามตารางเวลาของเราไม่ใช่เวลาของพระเจ้า

ในพระคัมภีร์เราได้รับการสั่งสอนว่าความอดทนคือสหายของสติปัญญา พระวจนะของพระเจ้านั้นชัดเจน: เราต้องฝึกความอดทนกับทุกคนโดยเริ่มต้นจากบุคคลที่เรากำลังมองเห็นในกระจก นั่นก็คือตัวเราเอง ความอดกลั้นใจเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตคริสตชน  แท้ที่จริงแล้วมนุษย์เราทุกคนต่างต้องเรียนรู้ที่จะอดทนในทุกด้านของชีวิต เพราะไม่มีอะไรที่เราทำแล้วจะพบความสำเร็จได้ทันที ทุกอย่างต้องใช้เวลา และอาจต้องประสบความยากลำบากบ่อย ๆ   ยิ่งกว่านั้นคริสตชนเราต้องอดทนต่อหลายสิ่งหลายอย่าง  เพื่อให้ความเชื่อของเราเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ

ข้อคิด
เมื่อคุณเรียนรู้ที่จะอดทนกับตัวเองและกับคนอื่นได้มากขึ้น หากคุณทำได้ก็เท่ากับว่าคุณได้ทำให้โลกของคุณ - และหัวใจของคุณ – เป็นสถานที่สงบสุข มีสันติสุขในใจและมีความเครียดน้อยลง



วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ฉลาดที่จะอ่อนน้อมถ่อมตน




อ่านพระคัมภีร์ 365 วัน 
วันที่ 265 - ฉลาดที่จะอ่อนน้อมถ่อมตน
อย่าทำสิ่งใดด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างเห็นแก่ตัว หรือด้วยความถือดี แต่จงทำด้วยความถ่อมใจ ถือว่าคนอื่นดีกว่าตน
ฟิลิปปี 2: 3

พระวจนะของพระเจ้าสั่งสอนไว้อย่างชัดเจนในเรื่องของการถ่ออมตน พระองค์สอนให้เราฝึกที่จะเจียมเนื้อเจียมตัว อ่อนน้อมถ่อมตนเข้าไว้ และนั่นก็เป็นสิ่งที่ดีเพราะว่าในฐานะมนุษย์ที่มีความผิดพลาดเราจึงต้องถ่อมตัวให้มากเข้าไว้! แต่ในสังคมรอบตัวเรายังมีพวกเราบางคนยังที่คงพยายามยกตัวเองขึ้นสูง หรือจองหองพองขน ยโสโอหัง แล้วบอกให้คนนั้นคนนี้มองมาที่ตัวเองเพราะยึดหลักการที่ว่าฉันคือศูนย์กลาง ฉันคือความถูกต้อง และถ้าหากคุณคือหนึ่งในนั้นก็แสดงว่าคุณกำลังเดินออกนอกทางของพระเจ้าแล้ว

ความอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นเป็นการตระหนัก ในตัวเองแล้วสามารถวางตนได้ถูกต้องเหมาะสม ไม่หยิ่งยโสโอหัง ไม่โอ้อวดเกินความจริง ไม่ยกตนสูงและกดคนอื่นให้ต่ำ มีความสุภาพ รู้จักให้เกียรติผู้อื่น รู้กาลเทศะ รู้ว่าอะไรควรไม่ควร โดยเน้นเรื่องของภายในจิตใจเป็นหลัก ความถ่อมตน เป็นการปรารภตนเอง คือคอยตามพิจารณาข้อบกพร่องขอตนเอง จับผิดตัวเองอยู่เสมอ สามารถประเมินค่าของตนเองได้ถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่อวดดื้อถือดี สามารถน้อมตัวลงเพื่อถ่ายทอดคุณความดีของผู้อื่นเข้าสู่ตนเองได้อย่างเต็มที่
ความอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นมีลักษณะเด่น 3 ประการ ดังนี้

       1. มีกิริยาอ่อนน้อม
       2. มีวาจาอ่อนหวาน
       3. มีจิตใจอ่อนโยน


ในฐานะคริสตชนผู้มีความเชื่อเราได้รับการเปลี่ยนใหม่และถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์โดยพระเยซูคริสต์และความรอดนั้นไม่ได้เกิดจากผลกรรมดีของเรา แต่เนื่องมาจากพระคุณของพระเจ้า ถ้าเป็นเช่นนั้นเราจะภูมิใจในตนเองได้อย่างไร? แน่นอนว่าคำตอบคือความรอดไม่ได้เกิดจากกรรมดีที่เราทำด้วยตัวเองเลย และถ้าเราซื่อสัตย์กับตัวเองและกับพระเจ้า  เราก็ไม่สมควรโอ้อวดตัวเองถึงกิจการดีต่าง ๆที่ทำ ... แต่เราจะต้องเป็นผู้กตัญญูรู้คุณและอ่อนน้อมถ่อมตน เพราะสิ่งที่ดีในชีวิตของเรารวมถึงคนที่เรารักล้วนมาจากพระเจ้า  

ข้อคิด
คุณต้องยึดหลักความถ่อมตนไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม ให้คุณกล้าหาญและเผชิญกับผลที่จะตามมา จงจำไว้ว่า ความหลงตัว ความโอ้อวด ความจองหอง ยโสโอหัง มักชักนำเราไปสู่ทางบาป แต่ความถ่อมใจมักจะขัดขวางไม่ให้เราตกลงไปในบาป จงกล้าหาญที่จะเป็นคนถ่อมตน และคุณจะพบกับพระพรและแผนการดีที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้


การจัดลำดับความสำคัญ


อ่านพระคัมภีร์ 365 วัน 
 วันที่ 264 - การจัดลำดับความสำคัญ
10ความรักไม่ทำร้ายเพื่อนบ้านของตน ฉะนั้นการมีความรักจึงเป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติอย่างครบถ้วนแล้ว
11และจงทำอย่างนี้ด้วยเข้าใจว่าปัจจุบันเป็นเวลาอะไร ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะตื่นจากหลับเพราะบัดนี้ความรอดของเราใกล้เข้ามามากยิ่งกว่าเมื่อเราแรกเชื่อ
โรม 13: 10-11

 ชีวิตของเราจะต้องทำสิ่งใดตามลำดับความสำคัญ ไม่ใช่ตามความเร่งด่วน หรือตามสิ่งล่อลวงต่าง ๆ เราจะต้องเป็นเจ้าของชีวิตของเรา อย่าให้สิ่งอื่นมาควบคุมเราได้ พระเจ้าทรงให้สติปัญญาแก่เราแล้ว ดังนั้น เราจะต้องดำเนินชีวิตให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า ภาพรวมของแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ ลำดับแรกที่สำคัญของชีวิตเราแต่ละวัน ที่ควรจะเป็นและจะขาดไม่ได้ คือ การอธิษฐานและการอ่านพระคัมภีร์ส่วนตัว  เพราะในฐานะลูกของพระเจ้าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า 

การจัดลำดับความสำคัญ ซึ่งพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ ได้แก่
- ความสัมพันธ์กับพระเจ้า  
- ความสัมพันธ์กับครอบครัว
- ความสัมพันธ์วัด,โบสถ์,คริสตจักร
- ความสัมพันธ์กับส่วนธุรกิจ การงาน การเรียน
ดังนั้น จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะต้องระลึกถึงลำดับความสำคัญนี้ให้ดี เพื่อที่เราจะเป็นผู้ที่สามารถควบคุมตนเองได้ ไม่ใช่ให้สิ่งอื่นมาควบคุมเรา

ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า ต้องมาก่อนเสมอ เนื่องจากพระคัมภีร์ได้กล่าวชัดเจน ให้เราแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อนสิ่งอื่นใด และให้รักพระเจ้าด้วยสุดใจ สุดจิต สุดความคิด สุดกำลังของเรา

ส่วนอันดับสองนั้น เราจะต้องเชื่อฟังบิดามารดา ดูแลท่านให้ดี โดยดูได้จากบัญญัติ 10 ประการ ในส่วนของการรักเพื่อนบ้าน(คนอื่น)เหมือนรักตนเองนั้น พระเจ้าได้ให้เราเชื่อฟังบิดามารดาเป็นข้อแรก  

การรับใช้ที่วัด,โบยถ์,คริสตจักรนั้น ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เนื่องจาก พระเจ้าได้ทรงสร้างเราให้เป็นส่วนหนึ่งของพระกายของพระองค์ เป็นอวัยวะต่าง ๆ กัน ให้เราร่วมกันรับใช้ และใช้ของประทานที่แต่ละคนมีมาทำให้เกิดประโยช์ร่วมกัน เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า

ส่วนธุรกิจ การงาน การเรียนของเรานั้น จะต้องมาเป็นอันดับสุดท้าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าให้เรารับใช้จนเสียการเรียน เสียงาน เนื่องจาก ชีวิตของเราจะต้องเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเพื่อให้ผู้อื่นสรรเสริญพระเจ้า เราจึงต้องมีการเรียนที่ดี เราสามารถมั่นใจได้ว่าถ้าเราแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อนสิ่งอื่นใดแล้ว พระองค์จะเพิ่มเติมสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นให้กับเราอย่างแน่นอน

จำไว้ว่า: นี่เป็นวันที่พระเจ้าสร้างและพระองค์เติมเต็มแต่ละวันด้วยโอกาสมากมายที่จะให้เรารักและรับใช้และแสวงหาการนำทางของพระองค์ จงคว้าโอกาสเหล่านั้น และทำให้มันเป็นเป็นของขวัญให้กับตัวคุณเอง ให้ครอบครัวของคุณ และให้ผู้อื่นด้วย จงอย่าทำอะไรรีบเร่งจนเกินพอดี แต่ให้คุณใช้เวลาในการเรียกร้องหาสันติสุขภายในซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าทางจิตวิญญาณของคุณ: ความสงบสุขของพระเยซูคริสต์ เป็นของคุณ จงทูลขอแล้วคุณจะได้รับ จงแสวงหาแล้วคุณจะพบ ดังนั้นให้คุณทูลขอ และมีใจขอบพระคุณอยู่เสมอเถิด

ข้อคิด
โลกนี้มีสิ่งล่อลวงมากมายที่ต้องการแย่งชิงเอาทุกช่วงเวลาว่างของคุณไป แต่คุณต้องไม่ลืมว่าพระเจ้าก็ต้องการเวลาของคุณด้วยเช่นกัน   หากเรารู้จักจัดลำดับความสำคัญในชีวิตโดยมีพระเจ้ามาเป็นที่หนึ่งของทุกสิ่ง ส่วนอื่นๆ ของชีวิต เช่นครอบครัว การงาน เพื่อนฝูง สังคม ตัวเราเอง เราย่อมมีชัยชนะ และเราจะพบความสุขที่แท้จริง   

ขอขอบคุณ บทความหนุนใจจาก
followhissteps

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563

การเห็นอกเห็นใจกัน




อ่านพระคัมภีร์ 365 วัน 
วันที่ 263 - การเห็นอกเห็นใจกัน
แต่ละคนไม่ควรมุ่งหาประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่ควรคิดถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย
ฟิลิปปี 2: 4

บางครั้งเมื่อเรารู้สึกมีความสุข เราพบว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่เราจะใจดี พูดจจาดี หรือเอื้อเฟื้อ เห็นอกเห็นใจต่อคนอื่นได้เร็ว แต่ในบางวันที่เราท้อแท้หรือเหนื่อยล้าเราก็สามารถเรียกพลังด้านลบออกมาเป็นคำพูดได้อย่างน่ากลัวเช่นกัน แต่พระบัญญัติของพระเจ้านั้นชัดเจน : พระองค์ตั้งใจและต้องการเห็นเราเลือกอย่างจริงจังที่จะปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความรัก ความมีน้ำใจ ความเห็นอกเห็นใจกันและความเคารพกันไม่ว่าสถานการณ์ของเราจะเป็นเช่นไรก็ตาม

ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะมองคนอื่นว่าพวกเขาจะทำประโยชน์อะไรให้เราได้บ้าง ทั้งในด้านธุรกิจ ครอบครัวหรือคริสตจักร เราวัดคุณค่าคนจากสิ่งที่เราสามารถตักตวงจากพวกเขาได้มากน้อยแค่ไหน? แทนที่จะมองว่าเราจะรับใช้กันและกันในพระนามพระเยซูได้อย่างไร? ในจดหมายถึงชาวเมืองฟีลิปปี เปาโลเขียนว่า อย่าทำสิ่งใดในทางชิงดีกันหรือถือดี แต่จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆ ด้วย” (ฟิลิปปี.2:3-4)

เราไม่ควรแสวงหาประโยชน์ส่วนตนจากผู้อื่น เพราะว่าพระเจ้าทรงรักพวกเขาและทรงรักเราด้วย เราจึงต้องรักซึ่งกันและกัน ความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด บนโลกใบนี้เราทุกคนมีหน้าที่ มีศักยภาพที่แตกต่างกันไป เราทุกคนก็เปรียบเสมอนจิ๊กซอ ซึ่งแต่ละตัวนั้นมีคุณค่า และความหมายเฉพาะตัว หากเรารู้จักให้ความรัก ให้เกียรติกัน ให้ความจริงใจ มีความเห็นอกเห็นใจต่อกัน มีความสามัคคีกัน  ไม่ว่าจะเป็นสังคมครอบครัว สังคมที่ทำงาน หรือสังคมไหนๆ ก็จะน่าอยู่ เพราะเราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและสมาชิกทุกคนก็จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขแน่นอน 

วันนี้เมื่อคุณพิจารณาทุกสิ่งที่พระคริสต์ทรงทำในชีวิตของคุณ ขอให้คุณถวายเกียรติแด่พระองค์โดยการทำตามพระบัญญัติและเชื่อฟังกฎทองของพระองค์ พระองค์คาดหวังจากคุณไม่น้อยและพระองค์ก็สมควรได้รับไม่น้อยเช่นกัน

ข้อคิด
อย่ารอหรือพลัดวันประกันพรุ่งอยู่เลย  เวลาที่ดีที่สุดในการทำความดีคือทำตอนนี้ลงมือทำทันทีที่คุณทำได้  ความสุขเกิดขึ้นจากการเห็นรู้จักเห็นอกเห็นใจกัน  ไม่ว่าคุณจะคิด จะพูด หรือจะทำอะไร ให้คุณยึดกฎทองของพระเยซูเป็นหลักเสมอนั่นก็คือ ความรัก ให้ความรักเป็นบรรทัดฐานของทุกสิ่ง ในชีวิตจริงเราคงไม่สามารถไปบอกหรือไปปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้อื่นได้ แต่เราสามารถให้กิจการดี ๆ (เช่นความคิด วาจา กิจการ ท่าทีที่ดี) เริ่มจากตัวเราได้ วันนี้ขอให้เริ่มจากตัวเรา และพยายามทำหน้าที่ และรับผิดชอบบทบาทของเราอย่างดีที่สุด

ขอขอบคุณ บทความหนุนใจจาก
thaiodb.org

พระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือ



อ่านพระคัมภีร์ 365 วัน 
วันที่ 262 - เพียงพอสำหรับความต้องการของคุณ
และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือสำหรับการดีทุกอย่าง
2 โครินธ์ 9: 8

คุณสามารถมั่นใจได้ว่า: ความรักของพระเจ้าเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของคุณ ไม่ว่าคุณจะเผชิญกับอันตรายอะไรหรือคุณจะต้องทนทุกข์ทรมานไม่ว่าอะไรก็ตามพระเจ้าจะสถิตอยู่กับคุณและพระองค์ก็พร้อมที่จะปลอบประโลมคุณและรักษาคุณ

สดุดี 30: 5 ได้เขียนไว้ว่า,: เพราะพระพิโรธของพระองค์คงอยู่เพียงชั่วครู่ แต่ความโปรดปรานของพระองค์คงอยู่ชั่วชีวิต การร่ำไห้อาจคงอยู่ชั่วข้ามคืน แต่ความชื่นชมยินดีจะมาในเวลาเช้า แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องเผชิญกับความทุกข์การรอคอยให้ถึงตอนเช้ามันช่างดูห่างไกลมากเหลือเกิน แต่ขอให้เราเชื่อมั่นและวางใจในพระเจ้าเถิด. เพราะว่าพระเจ้าสัญญาว่าพระองค์จะ "อยู่ใกล้กับผู้ที่มีหัวใจสลาย" สดุดี 34:18

หากคุณกำลังประสบกับความเจ็บปวดอย่างรุนแรงของการสูญเสียครั้งล่าสุดหรือหากคุณยังคงไว้ทุกข์กับการสูญเสียเมื่อนานมานี้ บางทีตอนนี้อาจถึงเวลาที่คุณจะเริ่มต้นการเดินทางครั้งต่อไปกับพระเจ้าแล้ว ถ้าคุณพร้อมแล้วจงระลึกถึงข้อเท็จจริงนี้: หัวใจแห่งความรักของพระเจ้านั้นเพียงพอที่จะเผชิญกับความท้าทายใด ๆ บนโลกนี้รวมถึงของคุณด้วย

ข้อคิด
ทุกสิ่งที่คุณต้องการ พระเจ้าสามารถให้ได้ พระองค์มีเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของคุณ

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2563

พระเจ้าจะไม่ทอดทิ้งท่านเลย


กำลังใจสำหรับทุกวัน


โลกใบนี้ ไม่มีใครที่ไร้ประโยชน์หรือไร้ศักยภาพจนเกินไปหรอก เพียงแต่มันอาจอยู่ผิดที่ผิดทางผิดเวลา หรืออยู่ผิดคนก็เท่านั้น ดังนั้นอย่ากลัวสายตาของคนอื่น ที่มองมาแต่ที่เราต้องกลัวคือ กลัวว่าตัวเองอาจจะไม่รักดี แล้วเห็นผิดเป็นชอบ ในชีวิตคนเราไม่จำเป็นต้องทะเลาะกันเพื่อให้เรื่องราวกระจ่างแจ้งชัดในทุกเรื่องก็ได้ เพราะน้ำที่ใสสะอาดเกินไปไร้ปลา คนที่ใสสะอาดเกินไปไร้เพื่อน (เอาจริงๆแล้วมนุษย์เราชอบคนหลายบุคลิกหรือเรียกว่าคนหลายหน้า นี่คือการเอาตัวรอดในสังคม)  การทะเลาะกันเพราะเหตุผล ที่เสียหายคือความสัมพันธ์ และที่เจ็บปวดกว่าใครนั้นก็คือ ตัวเราเอง


#พูดให้น้อย #ฟังให้มาก
#ตัดสินให้น้อย #ยอมรับให้มาก
#อคติให้น้อย #รักให้มาก
#ขี้เกียจให้น้อย #ลงมือทำให้มาก
นี่แหละวิถีชีวิตของคนมีความสุข
แต่ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าไปสร้างทุกข์ให้คนอื่นเขาก็พอ
#หงุดหงิดโมโหให้น้อย #อภัยให้มาก
อย่าให้คำพูดคำสอน เป็นเพียงแค่ลมที่ออกจากปาก แต่ให้การดำเนินชีวิตสะท้อนและสัมพันธ์ ไปกับสิ่งที่เราพูดด้วย การมีชีวิตที่ดี แตกต่างจาก การดำเนินชีวิตที่ดี เมื่อคำพูดของคุณสอดคล้องกับการดำเนินชีวิตจริง มันจะเป็นตัวชี้คุณค่าและการศึกษาของเราได้ดีกว่าใบปริญญา ต่อให้เรียนน้อย รู้น้อย มีคนยอมรับน้อย แต่เราก็มีค่าในสายตาพระผู้สร้างของเราเสมอ

ผู้มีเมตตา จะไม่ซ้ำเติมคนอ่อนแอ แต่จะให้กำลังใจในทางคำพูด การกระทำ  คนอ่อนแออยู่ไม่ไกลจากเราเลยถ้าเรามีเมตตาจิตภายใน ขอให้วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่คนอ่อนแอจะได้รับความสนใจจากเรา ขอให้วันนี้คนอ่อนแอจะได้รับการสัมผัสรักจากเรา ขอให้มั่นใจเถิดว่า ผู้ที่แสดงความเมตตาจะได้รับความเมตตาเช่นกัน

• บางครั้งการพยายามพูดอธิบายอย่างดีที่สุด 
ก็ฉลาดสู้การนิ่งเงียบไม่ได้
•  เพราะบางทีการพูดความจริงให้น่าเชื่อ
นั้นอาจยากกว่า พูดให้คนเชื่อเรื่องโกหกเสียอีก
โดยเฉพาะถ้าความจริงนั้น
ดันไม่ตรงกับความเชื่อของคนฟัง
• คนดีตัดสินคุณจากผลงาน
คนพาลตัดสินคุณจากเสียงลือ

บางครั้งเสื้อผ้า หน้าผม ที่ปกคลุมอยู่ภายนอก
ก็ไม่ได้ทำให้จิตใจของมนุษย์คนไหน สูงเด่นขึ้น
เพราะในสายตาของพระเยซูเจ้าแล้ว
พระองค์มองดูที่ ผลของการดำเนินชีวิต ท่าทีที่เราปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์
รูปลักษณ์ภายนอก การศึกษา...ไม่ได้บอก ถึง นิสัยภายในที่แท้จริง

มโนธรรม คือความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ความรู้สึกว่าอะไรควรทําอะไรไม่ควรทํา และเมื่อเราทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผลรางวัลตอบแทนทางโลกของเราจะไม่มีวันสิ้นสุดและรางวัลทางสวรรค์ของเราก็จะไม่มีวันสิ้นสุดด้วยเช่นกัน หากชีวิตที่ผ่านมาคุณรู้จักฟังเสียงของมโนธรรม และรู้จักผิดชอบชั่วดี ก็จงเชื่อมั่นและวางใจในแผนการที่พระเจ้ามีไว้ให้เราเถิด

พระเจ้าทรงพอพระทัยความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา นั่นคือทรงต้องการจิตใจมนุษย์ที่เมตตากรุณา รัก และรับใช้กันและกัน ดังพระวาจาที่ว่า จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง และสิ่งนั้นที่แบ่งออกและมอบให้ผู้ต่ำต้อยเป็นกิจเมตตากรุณาที่พระเจ้าทรงพอพระทัยพระองค์ตรัสสรุปว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา’ (มธ 25:40)

Between ทุกสิ่ง.
คนที่ขอโทษก่อน คือคนที่กล้าหาญที่สุด
คนที่ให้อภัยก่อน คือคนที่เข้มแข็งที่สุด
คนที่ลืมได้ก่อน คือคนที่มีความสุขที่สุด

หลายครั้งในการที่เราตัดสินใครสักคน ไม่ได้มาจากความดีเลวของเขา แต่เกิดจากความสมหวัง หรือผิดหวังที่เราคิดคาดหวังจากเขามากกว่า และข้อผิดพลาดใหญ่ๆในชีวิตมักไหลมาจากการคิดว่า ตัวเองคือความถูกต้อง ตัวเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง หลายคนจึงไม่รู้จักตัวเองทั้งชีวิต เพราะมัวอุทิศเวลา ให้กับการทำความรู้จักข้อผิดพลาดของคนอื่น ดังนั้นเขาทำตัวอย่างไรถือเป็นเรื่องธรรมดาของเขา แต่การที่เราสามารถทำหรือเปลี่ยนให้เขาดีขึ้นหรือเลวหนักกว่าเดิมได้ ถือเป็นกรรมที่ไม่ธรรมดาของเรา คิดเอาแล้วกัน ในชีวิตจริงอาจมีหลายคนที่กำลังเสียเวลาในการพยายามที่จะอธิบายความจริง แต่ด้วยว่านี่คือโลกที่เราอาศัยอยู่เป็นแบบนี้การพยายามอธิบายความจริงนั้นจึงยากกว่าการพูดเรื่องโกหกให้คนเชื่อเสียอีก และที่สำคัญคนฟังเขาเลือกสิ่งที่เขาอยากจะฟังไว้แล้ว

ตนเตือนตน เตือนไปนานๆ เตือนไปจนกว่าจะดี ใครไม่ดีช่างเขา แต่เราจะต้อง ดีๆ ขึ้นไป ไม่ทำตัวต่ำลง และบอกกับคนที่ให้กำลังใจเราว่า "ฉันไม่เป็นไร" บอกกับคนที่ดูแคลนคุณว่า "กูมีความสุขดี" บอกกับคนที่ห่วงใยเราว่า "ฉันขอบคุณ"

จงเรียนรู้ที่จะรับไว้ และเรียนรู้ที่จะละวาง เพราะไม่มีใครเคยหนีห่าง จากความไม่เที่ยง แปรปรวนไป และมันจะสลายไปในที่สุด ในชีวิตเราจึงอาจพบเจอคนบางคนที่ผ่านเข้ามาเพื่อสอนคุณว่าอะไรคือคำว่าชิงชัง อะไรคือความรักความเมตตา ดังนั้นชีวิตนี้จึงมีกำไรมากมายนักหากเรารู้จักมองเป็น เราจะเห็นค่าจวบถึงวันดับสิ้นดวงวิญญาณ์ ก็ลับลามือเปล่าเหลือเท่าเดิม และเป็นเหมือนกันทุกคน.  ไม่มีใครที่จะดีไปทุกส่วน หรือเลวไปทุกส่วน พระเจ้าจึงสอนให้เรามองหาและเชื่อในส่วนดีของกันและกัน

วันนี้ให้เรารักษาอารมณ์ของเราให้ดีและมีความสุข วางการคาดหวัง การคาดการณ์ แล้วพักสมอง และลองเปิดหัวใจกว้างๆ มองให้เห็นสิ่งดี เลิกจดจ่อสิ่งที่กวนใจ สถานการณ์ต่าง ๆ อาจทำให้ท่านรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง  แต่ขอให้ท่านรู้ว่าพระเจ้าจะไม่ทอดทิ้งท่านเลย


ขอพระจิตเจ้าประทานความเชื่อ ความหวังและความรัก ให้ท่านอย่างบริบูรณ์  เพื่อชีวิตของท่านจะได้ร่ำรวยด้วยกิจการดีทุกประการ จนบรรลุถึงชีวิตนิรันดรเทอญ☺😊😀

วันนี้ youให้เวลากับพระเป็นเจ้าแล้วหรือยัง ?

การพูดตรงๆ




ดูคนแท้ให้ดูจิตใจและการกระทำ
บางคนพูดตรงๆ แต่จริงใจ
บางคนพูดจาดี แต่เสแสร้งทำ
จงระวังประกาศกเทียม ซึ่งมาพบท่าน
นุ่งห่มเหมือนแกะ แต่ภายในคือสุนัขป่าดุร้าย (มธ7:15)

คนพูดตรง จริงๆแล้วมีหลายแบบ
- การพูดตรงบางคนพูดไปโดยไม่ได้คิดว่าคำพูดจะไปทำ ร้ า ย “ ใครบ้าง
-การพูดตรงแบบที่ไม่ไร้มารยาทและก็ไม่รักษาน้ำใจของผู้อื่น
- การพูดตรงๆ ด้วยความจริงใจ และหวังดี
- การพูดตรงไปตรงมาแบบเป็นคนหยาบคาย
- การพูดตรงแบบขวานผ่าซาก ฯลฯ

บางครั้งการพูดตรงๆอาจจะทำให้คุณใช้ชีวิตค่อนข้างลำบากแต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสถานะทางสังคมของคนแต่ละคนด้วย  ในโลกใบนี้มนุษย์เราต่างมีนิสัยไม่เหมือนกันและบางคำพูดของคุณก็อาจจะไปกระทบกระทั่งจิตใจคนอื่นโดยไม่รู้ตัวบางครั้งคุณก็ควรจะสังเกตคนอื่นบ้าง ใส่ใจคนอื่นบ้าง ว่าอะไรควรพูโไม่ควรพูด
 บางคนพูดตรงเพราะเขาจริงใจ หวังดี แต่อีกหลายคนก็พูดตรงนั่นเป็นเพราะมันคือตัวตนของเขา การพูดตรงแบบนี้ ออกไปแนวของการทำให้คนอื่นเสียใจ เสียหน้า ไม่มีศิลปะในการพูด ดังนั้นการพูดตรงๆ ที่ฉลาดเราต้องพูดให้ถูกกาละเทศในบางเรื่อง
การติเพื่อก่อยังพอรับฟังได้  และดีกว่าการพูดตรงๆ ทุกเรื่องแล้วต้องสร้างศัตรูและสร้างความเกลียดชังหรือแม้แต่สร้างบาดแผลในใจใครสักคน  ดังนั้นแล้วคุณต้องรู้จักการใช้คำพูด หรือที่เรียกว่าศิลปะในการพูด การพูดเพื่อบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น  คือคนที่ใช้สติ และคิดก่อนพูด เพราะทุกคำพูดที่รออกไปแล้วมันจะกลับมาเป็นนายเราเสมอ การพูดตักเตือนแต่ละครั้งเราต้องยึดหลักความรัก ความเมตตา ความกรุณาแบบไม่มีข้อยกเว้น หรือยึดเอาความพึงพอใจของตนเป็นหลัก

"ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง" 1 โครินธ์ 13:7

หรือ “ความรักไม่ช่างจดจำความผิด” 1 โครินธ์13:4

บางครั้งคำตักเตือนถือเป็นการตำหนิและกล่าวโทษ หากถูกตักเตือนผู้ตักเตือนจะกลายเป็นคนที่ขาดซึ่งความรักและพิพากษาตัดสิน
แต่ความรักที่แท้จริงนั้นคือการไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด (มีความเป็นธรรม)
1คร. 13:6 ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ

ก่อนจะพูดตรง ๆ ไตร่ตรองให้ดีก่อน ถ้าคุณพูดจาตรงๆ ที่ดูเหมือนแรงๆ จะกลายเป็นว่าคุณใช้อารมณ์มากกว่า ความจริงหรือเปล่า เพราะในโลกนี้ ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ คนที่ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี หรือไม่สบายใจ หรือเสียหน้า เสียหายหรอกนะ การพูดตรงๆ แข็งๆ นี่ก็เช่นกัน บางครั้งอาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกว่าคุณน่ากลัว  อยู่ด้วยก็อึดอัด

ดังนั้นแล้ว หากจะเป็นคนพูดตรงๆ ควรพูดในเรื่องที่สมควรพูด พูดให้ถูกกาละเทศะ ไม่ทำร้ายจิตใจผู้อื่น ไม่ทำให้คนอื่นเสียหน้า หรือเสียหาย ต่อหน้าธารกำนัล ต้องพูดด้วยเหตุผล และใช้สติคิดให้ดีก่อนจะพูดออกไปจะดีที่สุดต่อตัวเองและเพื่อนมนุษย์ บางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้องพูดทุกอย่างที่เราคิดก่อได้หากเราต้องพูดอยู่ต่อหน้าฝูงชน

เพราะพระเจ้าคือองค์ความรัก กฏทองที่เราต้องยึดไว้เป็นสิ่งแรก คือการรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตัวเอง ดังนั้นการตักเตือนควรอยู่บนพื้นฐานของความรัก ความเมตตา การเตือนสติใครสักคน เราต้องมั่นใจว่ามันตั้งอยู่บนฐานของ ความรัก  โรม. 12:9 จงให้ความรักปราศจากมารยา จงเกลียดชังสิ่งที่ชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี

รักที่มาจากใจจริง จึงหมายถึงรักที่ไม่เสแสร้ง หมายถึง เราต้องไม่ปล่อยให้ความรัก แสดงออกแต่เพียงภายนอก แต่ต้องมาจากภายใน จากพระวจนะตอนนี้ต้องการบอกเราว่าหากเราไม่ตักเตือนกันด้วยความรัก เท่ากับว่าความรักของเรานั้นเป็นความรักปลอม ๆ หรือเป็นแค่ความรักทีเสแสร้ง

ก่อนจะพูดอะไรออกไป เราต้องคิดให้ดีว่าสิ่งที่พูด นั้นออกมากจากความจริงใจ ความหวังดี อยู่บนพื้นฐานของความรัก ความเมตตา พูดออกไปแล้วไม่มีเจตนาจะทำให้ใครต้องเสียหน้า เสียหาย

หลายคนหรือแม้กระทั่งตัวเราเองก็เคยพูดว่า “ฉันชอบคนพูดตรง” แต่พอเอาความจริงมาพูดกัน บางครั้งเราเองก็ยอมทนฟัง และยอมรับมันไม่ได้เลยจริง ๆ ดังนั้นการพูดตรงแล้วทำร้ายใครต่อใคร เราจะพูดกันไปทำไม ให้เราเปลี่ยนมาเป็นพูดตรงๆ แบบมีศิลปะ โดยยึดหลักความรัก ความหวังดี ความจริงใจให้กัน พูดเพื่อหนุนใจกัน เสริมใจกันและกันดีกว่า การพูดดีย่อมนำมาซึ่งความสามัคคีธรรม มันช่วยทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ และสวยงามเหมือนกับที่พระบิดาทรงสร้างไว้แต่ก่อนที่ความบาปจะเข้ามาครอบคลุมโลก


ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7

  ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7   จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และ...