วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2563

เวลาของการอธิษฐาน

 


เวลาของการอธิษฐาน

วันหนึ่งขณะที่เปโตรกับยอห์นกำลังขึ้นไปยังบริเวณพระวิหาร ในเวลาอธิษฐานตอนบ่ายสามโมง

กิจการ 3: 1

 หลายคนอาจเคยรู้สึกผิดเกี่ยวกับชีวิตการอธิษฐานของพวกเขาเพราะพวกเขาเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่สร้างสรรค์และต้องการให้เราแต่ละคนมีชีวิตการอธิษฐานของตนเอง ชีวิตการอธิษฐานของคุณไม่จำเป็นต้องเหมือนของใคร ๆ

 เราจะเห็นได้ชัดในสาวกรุ่นแรกเกี่ยวกับวินัยในการอธิษฐานไม่ว่าจะเรื่องเวลาและเรื่องสถานที่ที่ทุกคนต้องรักษาอย่างเคร่งครัด ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี นอกจากการมีวินัยแล้วการอธิษฐานควรเป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้อยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีจุดจบ  การอธิษฐานเปรียบเสมือนลมหายใจ เราต้องหายใจเข้าออกตลอดเวลาเพื่อจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ฉันใด เราก็ต้องอธิษฐานอยู่ตลอดเวลาเพื่อเราจะมีความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าฉันนั้น เราสามารถสร้างวินัยให้ตัวเองเพื่อกำหนดตารางการอธิษฐานภาวนาที่เหมาะกับเราเป็นรายบุคคลได้ และเรายังสามารถเรียนรู้ที่จะอธิษฐานตลอดเวลาได้อีกด้วย นั่นหมายถึงการอธิษฐานในทุกครั้ง-ในทุกสถานที่ด้วยความเชื่อ ให้คำอธิษฐานเป็นเหมือนการหายใจเป็นสิ่งที่คุณทำได้อย่างง่ายดายและไม่ต้องใช้ความพยายาม ให้ทุกอย่างออกมาจากใจที่ใสซื่อแบบเด็กเล็กๆ

 คุณไม่ต้อง "รอ" ให้ถึงเวลาก่อนหรือสถานที่ต้องพร้อมก่อนจึงจะเริ่มอธิษฐานได้ แต่คุณสามารถทำได้ทุกครั้งที่คุณต้องการจะอธิษฐาน ไม่ว่าจะเพื่อสรรเสริญพระเจ้าในสิ่งที่พระองค์เป็น เพื่อขอบคุณพระเจ้าในสิ่งที่พระองค์ทำ เพื่อสารภาพความผิดบาปในแต่ละวันต่อพระเจ้า เพื่อทูลขอพระเจ้าในความปรารถนาของคุณ พื่อทูลขอพระเจ้าเผื่อผู้อื่นคุณสามารถทำได้ทันที! เพราะการอธิษฐานคือการที่เรากำลังพูดคุยกับพระเจ้าและเนื่องจากพระองค์อยู่ทุกหนทุกแห่งเราจึงสามารถพูดคุยกับพระองค์ได้ตลอดเวลา

ข้อคิด

พระเจ้าต้องการให้คำอธิษฐานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราทุกวัน ดังนั้น ไม่ว่าเราจะทำอะไร อยู่ที่ไหน เราก็สามารถคุยกับพระเจ้าได้ตลอดเวลา ได้ทุกวินาที การอธิษฐานก็ไม่ได้เป็นเพียงการทูลขอสิ่งต่าง ๆ จากพระเจ้าเท่านั้น แต่การอธิษฐานยังเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพระเจ้าด้วย

ขอขอบคุณ บทความหนุนใจจาก

คุณ JOYCE MEYER


ถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว

 


สิ่งใหม่

ฉะนั้นถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น

2 โครินธ์ 5:17

 ในฐานะ "สิ่งสร้างใหม่" คุณไม่จำเป็นต้องยอมให้สิ่งเก่า ๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณส่งผลต่อชีวิตใหม่ของคุณในพระคริสต์ คุณเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ในพระคริสต์ คุณสามารถเปลี่ยนความคิดของคุณใหม่ตามพระวจนะของพระเจ้า สิ่งดีๆกำลังจะเกิดขึ้นกับคุณ!

 เริ่มคิดบวกเกี่ยวกับชีวิตของคุณ นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้รับสิ่งที่ต้องการเพียงแค่คุณคิดถึงมัน พระเจ้ามีแผนการที่สมบูรณ์แบบสำหรับเราแต่ละคนและเราไม่สามารถควบคุมพระองค์ด้วยความคิดและคำพูดของเรา แต่สิ่งสำคัญสำหรับเราก็คือการฝึกคิดและพูดให้สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ที่ทรงมีไว้เพื่อเรา (ขอให้ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัย)

 ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าพระเจ้าประสงค์อะไรสำหรับคุณในตอนนี้  แต่อย่าลืมว่าคุณสามารถพูดได้ว่า”ถึงฉันจะยังไม่รู้แผนของพระเจ้า  แต่ฉันรู้ว่าพระองค์รักฉัน สิ่งที่พระองค์ทำจะดีและฉันจะได้รับพร”

 พระเจ้าได้เริ่มการงานที่ดีในตัวคุณแล้วและจะทำให้สำเร็จ (ฟิลิปปี 1: 6) ดังนั้นแม้ว่าคุณจะรู้สึกท้อแท้เพราะคุณไม่ได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเหมือนคนอื่น แต่จงจำไว้ว่าพระเจ้ากำลังทำงานในตัวคุณและพระองค์จะไม่มีวันทิ้งคุณหรือทอดทิ้งคุณ

 ข้อคิด

พระเยซูจะปล่อยให้คุณมีอิสระที่จะเพลิดเพลินไปกับสิ่งดี ๆในชีวิต จงเชื่อว่าพระเจ้าจะฟื้นฟูความคิดของคุณด้วยพระวจนะของพระองค์!

ขอขอบคุณ บทความหนุนใจจาก

คุณ JOYCE MEYER

การแบ่งปันพระวาจา

 


ฉันไม่ได้มีเจตนามาพูดหรือแบ่งปันพระวาจาเพราะคิดว่าฉันเป็นคนที่ดีแล้ว แต่ฉันพูดและแบ่งปันโดยรู้ฐานะตนเองดีว่าฉันยังเป็นคนที่มีข้อบกพร่องอีกมากมายที่ต้องเปลี่ยนแปลง ฉันมาแบ่งปันเล่าจากประสบการณ์การต่อสู้ดิ้นรนที่ฉันเผชิญในชีวิตประจำวัน ดังนั้นบางทีสิ่งที่ฉันแบ่งปันอาจช่วยหนุนใจคนอื่นๆที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากในชีวิตได้บ้าง  พระวจนะที่ฉันแบ่งปันอาจเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น ๆ กลับมีความหวังขึ้นมา เพื่อให้คนเหล่านั้นสามารถผ่านพ้นมรสุมชีวิตโดยการฟังพระวจนะของพระเจ้า ฉันเชื่อว่ากำลังใจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับมนุษย์ทุกคน การหนุนใจกัน เสริมศรัทธาและให้กำลังใจซึ่งกัน จึงไม่ใช่เรื่องผิดหรือแปลก  

 วิวรณ์ 2:17

17 “ใครมีหู ก็ให้ฟังสิ่งที่พระวิญญาณบอกกับหมู่ประชุมต่างๆ แล้วใครที่ได้รับชัยชนะ เราจะให้อาหารทิพย์ ที่เก็บซ่อนอยู่ และจะให้หินสีขาวกับคนนั้นด้วย โดยที่หินนั้นได้จารึกชื่อใหม่เอาไว้ ไม่มีใครรู้ชื่อนั้นนอกจากคนที่ได้รับเท่านั้น”

 ทุกสิ่งที่ฉันแบ่งปันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินของฉันกับพระเจ้า นั่นคือสิ่งที่พระองค์แสดงให้ฉันเห็นเกี่ยวกับตัวฉัน เมื่อฉันแสวงหาพระองค์เพื่อหาคำตอบสำหรับทุกสิ่งที่ฉันกำลังเผชิญ เราแต่ละคนมีการต่อสู้และปัญหาที่ต้องเผชิญแตกต่างกันไป ในแต่ละวันเราจึงต้องใช้เวลาส่วนตัวกับพระเจ้าเพื่อนำปัญหาหรือนำความไม่สบายใจของเราเข้าหาพระองค์ และรอคำตอบ พระองค์จะทรงเปิดเผยคำตอบนั้นผ่านชีวิตประจำวันของเรา

การยืนยันถึงสิ่งที่เราจะได้ยินด้วยจิตวิญญาณของเรามีหลายรูปแบบและเราจะเห็นมันได้ด้วยใจที่ถ่อมตัวเท่านั้น เจตนาในการแบ่งปันข้อความของฉัน คือต้องการบอกให้ทุกคนรู้ว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียว พระเจ้ารักคุณและพระองค์มีความชื่นชมยินดีอีกมากมายที่โลกไม่อาจให้คุณได้ ถ้าคุณเป็นเหมือนฉันคุณจะกระหายอยากที่จะเติบโตในฝ่ายวิญญาณมากขึ้นท่ามกลางปัญหาและโลกที่สับสนวุ่นวาย

 มัทธิว 7: 7

ขอพระเจ้าในสิ่งที่คุณขัดสน

7 ขอสิแล้วจะได้ หาสิแล้วจะพบ เคาะสิแล้วประตูจะเปิดให้ 8 เพราะทุกคนที่ขอก็จะได้ ทุกคนที่หาก็จะพบ และทุกคนที่เคาะ ประตูก็จะเปิดให้

 ฉันเชื่อว่าเราแต่ละคนสามารถแสวงหาพระเจ้าได้ในทุกวันและในทุกสถานการณ์ของชีวิต และฉันเชื่อว่าเราทุกคน สามารถแบ่งปันและบอกคนอื่นถึงสิ่งที่พระองค์สำแดงอะไรเกี่ยวกับชีวิตของเรา เมื่อคุณแบ่งปันวิธีที่พระเจ้ามองเห็นคุณและการให้อภัยที่มีอยู่ในพระเยซูพระบุตรของพระองค์นั่นคือความรักที่แท้จริง เพราะชีวิตคนเรานั้นไม่ได้ยืนยาวมากนักและวันหนึ่งเราแต่ละคนจะยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์เพื่อรายงานบัญชีชีวิตในขณะดำรงอยู่ในโลกของเรา ดังนั้นเราจึงควรแสวงหาพระองค์ในขณะที่เรายังมีโอกาสที่จะพบพระองค์ที่บนโลกนี้ให้ได้มากที่สุด

 2 โครินธ์ 5: 10-11

10 เพราะเราทุกคนจะต้องอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ เพื่อแต่ละคนจะได้รับผลตอบแทนตามความดีหรือความชั่วที่ทำมา ตอนที่ยังอยู่ในร่างกายนี้

งานนำคนมาคืนดีกับพระเจ้า

11 เราเกรงกลัวองค์เจ้าชีวิต เราก็เลยพยายามชักชวนคนให้หันมาหาพระองค์ พระองค์รู้ดีว่าเราเป็นคนอย่างไร และเราก็หวังว่าพวกคุณรู้จักเราอย่างนั้นด้วย

ขอพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ ทรงขจัดภัยต่าง ๆ ให้ห่างไกลจากท่าน และทรงหลั่งพระพรลงมายังท่านด้วยเทอญ☺😊😀

วันนี้คุณให้เวลากับพระเป็นเจ้าแล้วหรือยัง ?

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

KATT CREWS

 




 คำพูด “ดี ๆ ที่ทำให้เจริญขึ้น”

คำพูดแง่ลบ จะสามารถทำลาย และทำร้ายจิตใจของเราได้ ถ้าเราอนุญาตให้มันเกิดขึ้น นั่นก็คือการเก็บมันเอามาคิด

คำพูดได้สำแดงถึงลักษณะของผู้พูดหลายอย่าง ได้บ่งบอกสิ่งที่อยู่ในใจ ชีวิตหรือที่มาของคนๆนั้น เมื่อเราฟังคำพูดของผู้ใด เราก็พอรู้ได้ว่า เขาสนใจเรื่องอะไร ค่านิยมของเขาเป็นอย่างไร ยิ่งกว่านั้น เมื่อเราฟังคำ พูดของผู้ใด เราก็รู้ได้ว่า จุดปลายทางของเขานั้นคือที่ไหน คนที่จะไปในสวรรค์นั้นมัก จะพูดถ้อยคำแห่งสวรรค์ และคนที่จะไปนรกนั้นมักจะพูดถ้อยคำแห่งนรก

เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งที่พึงระวังคำพูดของเราคือ คำพูดมีพลัง. สุภาษิต 15:4 (ฉบับแปลใหม่) กล่าวว่า “ลิ้นที่สุภาพเป็นต้นไม้แห่งชีวิต แต่ลิ้นตลบตะแลงทำน้ำใจให้แตกสลาย.” * น้ำทำให้ต้นไม้ซึ่งเหี่ยวเฉากลับสดชื่นขึ้นฉันใด คำพูดสุภาพที่ฟังแล้วสบายใจสามารถทำให้คนฟังรู้สึกชื่นใจฉันนั้น. ในทางตรงกันข้าม คำพูดที่ไม่ดี ตลบตะแลงทำให้คนฟังเจ็บช้ำน้ำใจได้. ที่จริง คำพูดของเรามีพลังในการทำให้เจ็บปวดหรือไม่ก็เยียวยารักษา.—สุภาษิต 18:21.

เมื่อตระหนักว่าสิ่งที่เราพูดมีผลกระทบต่อคนอื่น เราจึงต้องการที่จะใช้คำพูดเพื่อเยียวยารักษาอย่างแน่นอน ไม่ใช่เพื่อทำให้คนอื่นเจ็บปวด.

เพื่อจะพูดคำ “ดี ๆ ที่ทำให้เจริญขึ้น” เราควรคำนึงถึงสามลักษณะพื้น ๆ แต่ก็สำคัญซึ่งเป็นลักษณะเด่นของคำพูดที่เสริมสร้าง นั่นคือ ก่อประโยชน์, เป็นความจริง, และเป็นคำพูดที่กรุณา. ให้เราคิดถึงลักษณะเหล่านี้ก่อนพูด

ถ้ามีใครมาพูดไม่ดีหรือทำในสิ่งแย่ ๆ กับคุณ สิ่งนั้นก็บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของคน ๆ นั้นเอง คุณไม่สามารถบังคับให้ทุกคนดีกับคุณได้ แต่คุณทำในส่วนของคุณให้ดีโดยการฝึกฝนและพัฒนาตนเอง เราสามารถสร้างมูลค่าให้กับตัวเองได้ในทุกวัน โดยมีพระคริสต์เป็นแบบอย่าง

เวลาของคุณมีค่า อย่าเอาทัศนคติติดลบหรือคำพูดร้ายของคนอื่นมาบั่นทอนตัวเอง เช่น การยึดติดกับความแค้น อยากเอาคืนให้สาสมแก่ใจ มีแต่จะทำให้ความคิดคุณจมลง อดีตคือสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว เรียนรู้ที่จะปล่อยวางจากเรื่องที่ไม่มีสาระ อย่าใช้ชีวิตอยู่แต่กับความทุกข์นานจนลืมไปว่าชีวิตต้องดำเนินต่อไปข้างหน้า

อย่าให้อารมณ์เพียงชั่ววูบ ทำให้คุณเสียใจกับผลของมันไปตลอด คำพูดไม่อาจถอนคืนได้ การกระทำก็เช่นกัน คุณไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขเรื่องราวในอดีตได้ ทางที่ดีคือทำปัจจุบันให้ดีที่สุด หยุดใช้อารมณ์และหันมาใช้ความคิดตรึกตรองให้ดีก่อนทุกครั้ง

ในทุกเหตุการณ์ คุณมีตัวเลือกเสมอ คุณสามารถที่จะตอบกลับอย่างชาญฉลาด หลีกเลี่ยงความรุนแรงได้ ขอแค่ให้คุณมีสติกับตัว คิดให้ดีทุกครั้งก่อนตัดสินใจพูดหรือทำอะไร แล้วก้าวต่อไป คุณสามารถเรียนรู้ข้อผิดพลาดจากผู้อื่น เพื่อนำไปปรับปรุงตัวเองและหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดตามมาได้

ขอขอบคุณข้อความดีๆจาก
www.jw.org
Live and Learn

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2563

พระเยซูเท่านั้น

 


พระเยซูเท่านั้น

เพื่อเสรีภาพนั้นเองพระคริสต์จึงได้ทรงให้เราเป็นไท เพราะฉะนั้น จงตั้งมั่น และอย่าเข้าเทียมแอกของการเป็นทาสอีกเลย

กาลาเทีย 5: 1

เมื่อพระเจ้าสร้างโลกนั้น โลกอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนดีทั้งสิ้น ต่อมาพระองค์ทรงสร้างอาดัมและเอวา และให้อิสระแก่พวกเขา ดังนั้น เขามีสิทธิเลือกได้ว่าจะดำเนินชีวิตติดตาม และเชื่อฟังพระเจ้าหรือไม่ แต่อาดัม และเอวามนุษย์คู่แรกที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ได้รับการล่อลวงโดยซาตานมันบอกให้พวกเขาขัดคำสั่งพระเจ้า พวกเขาจึงมีความบาปซึ่งเป็นตัวแยกเขา (รวมถึงทุกคนที่เกิดมาหลังจากนั้น และพวกเราด้วยเช่นกัน) ออกจากสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพระเจ้า พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และไม่สามารถอยู่ท่ามกลางความบาปได้ ในฐานะที่เราเป็นคนบาป เราไม่สามารถไปสวรรค์ได้ด้วยวิถีทางของเราเอง

 ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงให้มีหนทางหนึ่งขึ้น เพื่อที่เราจะได้กลับมาคืนดีกลับพระองค์ในสวรรค์ได้ “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร์”ในพระธรรม (ยอห์น 3:16) “เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตายแต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” ในพระธรรม (โรม 6:23) พระเยซูทรงบังเกิดมาในโลกนี้ เพื่อพระองค์จะได้สอนพวกเราถึงทางรอดนั้น และมาตายเพื่อบาปของเรา เพื่อเราจะไม่ต้องตาย และในวันที่สาม พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ในพระธรรม (โรม 4:25) ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงชัยขนะเหนือความตายของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง พระเจ้าและมนุษย์ เพื่อเราจะได้มีสายสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระองค์ เพียงแค่เรารับเชื่อ

 การแทรกแซงคืองานของมารซาตาน มันเกลียดความเรียบง่ายเพราะพวกมันรู้ถึงพลังและสันติสุขที่ศรัทธาของเรานำมา เมื่อใดก็ตามที่ความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้ากลับไปสู่ความเรียบง่ายโดยการเชื่อเหมือนเด็กเล็ก ๆ พระเยซูตรัสว่า "เชื่อเท่านั้น" แล้วคุณจะเห็นพระสิริของพระเจ้า (ยอห์น 11:40)

ข้อคิด

เมื่อเราตอบรับความรอดเราก็มีความหวัง สันติสุข การอภัยโทษบาป พระคุณอันอุดมเหลือล้น และการทรงไถ่ให้รอดนี่เป็นข้อเสนอแท้จริง รับประกันด้วยการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู จากมุมมองของพระเยซู  ความเชื่อและวางใจแบบเด็กเล็ก ๆ ถือเป็นแบบอย่างความเชื่อแก่เรา และทรงบอกให้เราต้อนรับทุกคนที่เปิดใจให้พระองค์ พระเยซูตรัสว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆ เข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าชาวแผ่นดินสวรรค์เป็นของคนเช่นเด็กเหล่านั้น” (19:14) ความเชื่อของเราในพระเยซูจะต้องเป็นเหมือนความเชื่อของเด็กๆ

ขอขอบคุณ บทความหนุนใจจาก

knowgod.in.th

thaiodb.org

การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ดี

 


การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ดี

แต่เราทุกคนไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว และมองดูพระรัศมีขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป เหมือนอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ

2 โครินธ์ 3:18

 การได้เรียนรู้ตัวเอง คือการได้รู้ว่าตัวเราเป็นคนแบบไหนมีข้อดีข้อเสียอย่างไร? เราต้องกล้ายอมรับต่อข้อเสียที่คนรอบข้างบอก เพื่อนำมามาวิเคราะห์ต่อว่าทำไมเราถึงเป็นคนแบบนั้นพร้อมหาทางแก้ไขที่ดีที่สุด เช่น การควบคุมความคิดเชิงลบ และความรู้สึกของตัวเองเราจึงจะสามารถเริ่มลดความเป็นตัวเองลงได้บ้าง ลดอารมณ์ขี้หงุดหงิดโมโห   ให้ตรวจสอบตัวเองบ่อย ๆ เพื่อจะได้รู้ว่าเราควรจะพัฒนาตัวเองในด้านไหนมากขึ้น

 หากคุณต้องการเติบโตและอยากเห็นตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น คุณต้องมั่นใจ และมีความมุ่งมั่นและตั้งเป้าหมายให้กับตนเอง เช่นว่า ฉันอยากจะเป็นคนที่สามารถรักคนอื่นได้ด้วยความจริงใจ มีความอดทนทั้งต่อตนเองและผู้อื่นให้มากขึ้น และเป็นพรแก่ผู้อื่น    ไม่อิจฉา   ไม่อวดตัว   ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย   ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว   ไม่ฉุนเฉียว   ไม่ช่างจดจำความผิด  ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ    และเชื่อในส่วนดีของผู้อื่นอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ   และทนต่อทุกอย่าง  ฉันอยากจะอ่อนโยนและมีเมตตาต่อผู้อื่นแม้ว่าวันนั้นตัวเองจะไม่รู้สึกดีก็ตาม  

 เครื่องมือชิ้นแรกที่พระเจ้าใช้เปลี่ยนแปลงเรา คือ “พระคัมภีร์” พระองค์สอนวิธีดำเนินชีวิตแก่เราผ่านถ้อยคำของพระองค์ ใน 2 ทิโมธี 3:16-17 บอกว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การแก้ไขสิ่งผิดและการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะมีความสามารถและพรักพร้อมเพื่อการดีทุกอย่าง”

 เครื่องมือชิ้นที่สองที่พระเจ้าทรงใช้เปลี่ยนแปลงเราคือ “พระวิญญาณบริสุทธิ์” เมื่อเราอุทิศตัวแด่พระคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามาในชีวิตเราเพื่อเสริมกำลังและนำทางเรา พระวิญญาณพระเจ้าให้กำลังใหม่ ความกระฉับกระเฉง ความปรารถนา และพลังที่จะทำสิ่งถูกต้องแก่เรา เมื่อพระวิญญาณพระเจ้าทำงานในเรา เราก็จะเหมือนพระองค์มากขึ้น ๆ จุดประสงค์แรกของพระเจ้าในชีวิตคุณคือ ทำให้คุณเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์  

 โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในตัวเรา เราจะสามารถมีความสุข ชื่นชมยินดีและอ่อนโยนกับผู้อื่นได้แม้ว่าสิ่งต่าง ๆรอบกายจะไม่ได้อำนวยก็ตาม  เราจะสามารถสงบสติอารมณ์ลงได้ต่อให้ทุกสิ่งรอบตัวเราดูวุ่นวายไปหมดก็ตามแต่ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เราจึงมีความอดทนและสามารถควบคุมอารมณ์โกรธและความรู้สึกไม่พอใจไว้ได้

 แต่น่าเสียดายที่พวกเราส่วนใหญ่หัวแข็ง และไม่ยอมเปลี่ยนตามง่าย ๆ  พระองค์อาจต้องใช้เครื่องมืออย่างที่สามเข้ามาช่วย นั่นคือ สถานการณ์ ซึ่งหมายถึง ปัญหาและแรงกดดัน เรื่องปวดร้าวใจ ความยุ่งยากลำบาก และความเครียด เพราะสิ่งเหล่านี้มักกระตุกความสนใจของเราได้ดี   โรม 8:28-29 ในฉบับแปลบางเล่มกล่าวว่า “สำหรับผู้ที่รักพระเจ้า ผู้ที่พระเจ้าเรียกตามแผนการของพระองค์ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะพอเหมาะพอดีกับรูปแบบที่เตรียมไว้เพื่อให้เกิดผลดี

ข้อคิด

พระเจ้าจะเปลี่ยนแปลงคุณจากภายในทีละเล็กทีละน้อย

วิธีดีเลิศที่สุดของพระเจ้าในการปรับเปลี่ยนเราคือ ให้เราอ่านพระคัมภีร์ เพื่อค้นหาว่า เราควรดำเนินชีวิตอย่างไร? และจากนั้นพึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเราเพื่อช่วยให้เราทำได้  และถ้าหากเรายังหัวแข็ง และไม่ยอมเปลี่ยนตามง่าย ๆ  พระองค์อาจต้องใช้เครื่องมืออย่างที่สามเข้ามาช่วย นั่นคือ สถานการณ์ แต่ความยากลำบากเล็กๆน้อยๆ ไม่สามารถเปรียบกับศักดิ์ศรีนิรันดร์ที่เราจะได้รับ

ขอขอบคุณ บทความหนุนใจจาก

พลังเปลี่ยนชีวิต โดย ริค วอร์เร็น

 graceministry.net

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2563

คำแนะนำชีวิตที่ดีที่สุด คือพระคัมภีร์

 


คำแนะนำชีวิตที่ดีที่สุด คือพระคัมภีร์

การใช้เวลากับพระเจ้ามากขึ้นจะทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไป ไม่มีใครบอกผลลัพธ์ของเรื่องนี้ได้ดีไปกว่าตัวคุณเอง


ต่อให้ฟังเทศน์วันละหลายหน จากนักเทศน์ที่ดีที่สุด เพจคำคมฟื้นฟูกำลังใจที่ดีที่สุด แต่คุณกลับละเลยการอธิษฐานและการศึกษาพระวจนะ และการนำไปใช้ให้เกิดผลจริงในชีวิอย่างจริงจัง และจริงใจ มันก็เปล่าประโยน์ เหมือนเททรายลงในทะเล ถมกำลังใจให้เท่าไหร่ก็ยังไม่เต็ม "ถ้าชีวิตไม่ได้ถูกเปลี่ยน ไม่ถูกขัดเกลา ชีวิตเราก็จะไม่เกิดผล" >>เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงดินและตายไป ก็จะคงอยู่เมล็ดเดียว แต่ถ้าตายไปแล้วก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก ยอห์น 12:24

หากเปรียบชีวิตของเราในช่วงที่ต้องเจอปัญหาวิกฤต เราก็เหมือนคนที่เดินตกท่อ ต่อให้ใครหลายคนช่วยพูดหนุนใจเรา ให้กำลังใจเรา ให้แรงบันดาลใจเรามากแค่ไหน แต่ตัวเราไม่ได้ใส่ใจที่จะฟังสิ่งนั้นและนำมาใช้อย่างจริงจังในชีวิต ฟังไปร้อยครั้ง คุณก็ยังมีโอกาสตกกลับลงไปในท่ออีกเหมือนเดิม ต่อให้คนอื่นๆที่เขาคอยสนับสนุนเรา คอยยื่นบันได ยื่นมือ ยื่นเชือก หรือบอกวิธีปีนออกจากท่อ แต่ตัวคุณกลับนิ่งเฉย หรือแค่ฟังผ่าน ๆ แล้วคิดว่าตนเองมีวิธีที่ดีพออยู่แล้ว มันก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นอกจากคุณจะเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนทัษนคติ

"จงให้พระวาทะของพระคริสต์ดำรงอยู่ในตัวท่านอย่างบริบูรณ์ จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยปัญญาทั้งสิ้น จงร้องเพลงสดุดีเพลงนมัสการ และเพลงสรรเสริญด้วยใจโมทนาขอบพระคุณพระเจ้า"

"พระวจนะของพระเจ้าเป็นเหมือนกับดาบสองคม คนอ่านก็เจ็บ คนสอนก็เจ็บ พระคำของพระเจ้านั้นมีจุดประสงค์ตักเตือนและสอนให้เราทั้งหลายเป็นคนดี อยู่ในทางของพระเจ้า" #ขอพระเจ้าเสริมกำลังนะคะ #พระเจ้ารักคุณ

"พระวจนะของพระเจ้าสดใหม่เสมอ พระวจนะทำให้เราสามารถก้าวต่อไปได้ในทุกๆวัน เพราะพระเจ้าทรงหนุนใจเราผ่านพระวจนะของพระองค์ ในทุกสถานการณ์ของชีวิต" #พระเยซูรักคุณ

อยากบอกว่าคมคมสอนใจ ที่ให้สติ ให้ปัญญาที่ดีที่สุด มีอยู่ในพระคัมภีร์แล้ว ขอร่วมสนับสนุนให้พ่อแม่พี่น้องเพื่อนที่รักทุกคนอ่านพระคัมภีร์ มากกว่าอ่านคำคมชีวิตอื่นๆ เพราะพระคัมภีร์คือ สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกด้านของชีวิตเรา เป็นภูมิคุ้มกันที่ดี เป็นกำลังใจที่ดี และให้แรงบันดานใจที่ดีที่สุดอีกด้วย

ยิ่งลูกได้ให้เวลากับการอ่านพระวาจา
ทำให้ลูกอยากเป็นคนที่ดีพร้อมสำหรับพระองค์มากกว่าสิ่งอื่นใด
และทำให้ใจลูกเข้มแข็งขึ้น
และตระหนักถึงการประทับอยู่ของพระองค์
และตอกย้ำใจลูกว่าลูกจะมีค่าเพียงใด
หากลูกเรียนรู้ที่จักรักและรับใช้ด้วยใจนอบน้อม
โดยมีพระเยซูเป็นแบบอย่าง
#ฉันรักพระเยซู

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจดีๆจาก
Jesus Loves U

การใช้เวลากับพระเจ้ามากขึ้นจะทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไป







 สำรวจความเชื่อตัวเอง

ให้ลองคิดเล่น ๆตอนคุณว่าง ๆ มองดูตัวเองที่ผ่านมา คุณใช้เวลาหมดไปกับอะไรมากที่สุด? คำตอบที่ได้คือ หมดไปกับภาระหน้าที่ในชีวิตประจำวันน่าจะป็นคำตอบของคนส่วนมาก แล้วรองจากนั้นล่ะ ก็อาจจะหมดไปกับการเพลิดเพลินบนโลกออนไลน์ แล้วนอกจากนั้นล่ะ ??? เราใช้เวลากับพระเจ้ามากเท่าไหร่ต่อวัน?? เราคิดถึงพระองค์ตอนไหนบ้าง?

เวลาที่ชีวิตมีความสุข ทุกอย่างราบรื่นไปด้วยดี เราได้ใช้เวลาในการพูดคุยกับพระเจ้าและขอบคุณพระองค์เพียงพอหรือยัง? หรือเรารอทำเฉพาะวันพิเศษสำคัญทางศาสนาและวันพุธกับวันอาทิตย์?

แล้วเวลาที่ชีวิตต้องเผชิญกับความยากลำบากละ เราคิดถึงใคร เวลาที่คุณมองไปทางไหนก็ดูมืดมน เหมือนเจอทางตัน คุณคิดถึงใคร? พระเจ้าหรือเปล่า?

วันนี้จะมีพายุใหญ่เฮอริเคนรอร่าพัดผ่านเขตบ้านเขตเมืองของเรา พายุลูกนี้ถล่มมาแล้วหลายเมือง ข้าพเจ้าเริ่มได้ยินเสียงฝนตก ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกกลัว ข้าพเจ้ารีบอธิษฐานภาวนาขอให้มันผ่านไปโดยเร็ว โดยไม่ให้ใครในเมืองต้องได้รับความเสียหาย

ด้วยสาเหตุนี้ทำให้ข้าพเจ้าได้ฉุกคิด และถามตนเองว่า ในยามมีความสุขเราคิดถึงพระเจ้าจริงจัง เหมือนที่เราคิดถึงพระเจ้ายามทุกข์หรือเปล่า?

ข้าพเจ้าจึงมาแบ่งปันในเรื่องนี้ และให้เราสังเกตดูตนเอง ว่าในแต่ละวันเราให้เวลากับพระเจ้าบ่อยแค่ไหน และเราจะคิดถึงพระองค์มากที่สุดตอนไหน? คำตอบที่ควรจะเป็น คือ เราควรให้พระองค์มาเป็นอันดับแรกของทุกเรื่องราวในชีวิต การอ่านและฟังพระวาจา หากแค่ผ่านเข้ามาในหู แต่ไม่ได้นำมาปฏิบัติ ก็เปล่าประโยช์

และเมื่อเราเป็นบุตรของพระเจ้า (1:12) พระองค์ย่อมอยากจะสนทนากับเรา เพื่อเราจะรู้จักพระองค์มากขึ้น ไม่ใช่ให้พระองค์เป็นเพียงคนคุ้นเคยเฉพาะวันอาทิตย์หรือคนที่เราร้องหาเวลาที่สิ้นหวัง พระองค์คุ้นเคยกับเราเป็นการส่วนตัว พระองค์อยากให้เราเต็มใจเชื่อฟังพระองค์ และทำให้พระองค์พอพระทัย “เราจะมั่นใจได้ว่าเราคุ้นกับพระองค์โดยข้อนี้ คือถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์” (1 ยน.2:3)

พระเจ้ารักคุณและอยากให้คุณรู้จักพระองค์ พระองค์ตอบคำอธิษฐานของผู้ที่สิ้นหวัง แต่ก่อนที่คุณจะเริ่มทูลขอสิ่งใด คุณต้องรู้จักพระองค์เป็นการส่วนตัวเสียก่อน

การรู้เรื่องพระเจ้าอาจเป็นเรื่องน่าสนใจ
แต่การรู้จักพระองค์จะทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไป
คุณจะแบ่งปันข่าวประเสริฐกับคนใกล้ชิดคุณในสัปดาห์นี้ได้อย่างไร?
ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์สำหรับของขวัญแสนพิเศษแห่งความรอด โปรดส่งข้าพระองค์ไปยังคนที่ต้องได้ยินถึงพระเมตตาของพระองค์ในวันนี้ อาเมน

การใช้เวลากับพระเจ้ามากขึ้นจะทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไป ไม่มีใครบอกผลลัพธ์ของเรื่องนี้ได้ดีไปกว่าตัวคุณเอง

ครอบครัวคือสถาบันที่พระเจ้าทรงสถาปนาขึ้น

 ครอบครัวคือสถาบันที่พระเจ้าทรงสถาปนาขึ้น

เมื่อบอกว่าครอบครัวเป็นสถาบันที่พระเจ้าทรงสถาปนาขึ้นมีความหมายว่าการเริ่มต้นของครอบครัวมีจุดเริ่มต้นที่พระเจ้า พระเจ้าทรงให้ความสำคัญกับสถาบันครอบครัวมาก

เมื่อพระเจ้าเองยังให้ความสำคัญกับครอบครัว เราเองก็ต้องยิ่งให้ความสำคัญ และกระทำอย่างดีที่สุดสำหรับครอบครัว เพราะในวันที่เราพบกับพระเจ้าบนแผ่นดินสวรรค์ เราต้องรายงานเกี่ยวกับการกระทำทุกอย่างของเราบนโลกนี้ ซึ่งก็หมายรวมถึงครอบครัวด้วย

พระเจ้าทรงสถาปนาครอบครัวขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ที่สำคัญ เมื่อคนที่เติบโตจากครอบครัวที่ได้รับการบ่มเพาะทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะเข้าสู่สังคมใหญ่ในฐานะประชากรคุณภาพ และแน่นอน เมื่อสังคมมีประชากรคุณภาพเป็นจำนวนมาก ๆ สังคมก็ย่อมเข้มแข็ง สงบสุข และเจริญก้าวหน้า


“จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาจะไม่พรากจากทางนั้น” (สภษ. 22:6) บรรทัดฐานในการฝึกฝนอบรมหรือทางที่เด็กควรจะเดินไป ไม่ใช่เป็นศีลธรรมตามความรู้สึกนึกคิดของพ่อแม่ แต่เป็นมาตรฐานทางศีลธรรมตามหลักคำสอนของพระคัมภีร์ พระเจ้าจึงบัญชาคนที่เป็นพ่อแม่ว่า “ฝ่ายท่านผู้เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของตนให้เกิดโทสะ แต่จงอบรมบุตรด้วยการสั่งสอน และการเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (อฟ. 6:4)

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2563

คุณสามารถได้รับการปลดปล่อยตัวเองจากพลังแห่งการปฏิเสธ!

 


  ปลดปล่อยตัวเองจากพลังแห่งการปฏิเสธ!

ให้พระคริสต์ประทับในใจของท่านโดยทางความเชื่อ ให้ท่านได้หยั่งรากและตั้งมั่นอยู่ในความรัก  เอเฟซัส 3:17

รากของการปฏิเสธ

 การปฏิเสธเริ่มต้นในฐานะเมล็ดพันธุ์ที่ปลูกอยู่ในชีวิตของเราผ่านสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับเรา พระเจ้ารักและยอมรับเราโดยไม่มีข้อแม้ แต่ปีศาจมักมาเพื่อขโมยความจริงนั้นไปจากเราโดยทำให้เราคิดว่าตัวเองถูกปฏิเสธ เราจึงรู้สึกว่าตัวเองถูกปฏิเสธและไม่มีใครรัก เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นมันจะส่งผลกระทบต่อทุกด้านในชีวิตของเรา มันกลายเป็นต้นไม้ที่มีกิ่งก้านสาขามากมายและให้ผลเลว

 สิ่งใดก็ตามที่ดีหรือไม่ดี  มาจากการหยั่งรากลึกและมันจะเป็นตัวกำหนดผลในชีวิตของคุณ    หากคุณมีรากฐานที่มาจากการปฏิเสธ-การละเมิด-ความอับอาย-ความรู้สึกผิดหรือภาพลักษณ์ที่ไม่ดี หรือ หากคุณมีรากฐานมาจากความคิดที่ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับฉัน! , ความโกรธ, ความเกลียดชัง, วิญญาณที่ควบคุม, การตัดสิน, การทำร้ายและความสงสารตัวเอง ก็จะให้ผลเลวในชีวิตของคุณ ในทางกลับกันหากคุณมีรากฐานมาจากพระเยซูและในความรักของพระองค์คุณก็สามารถผ่อนคลายและรู้ว่าคุณเป็นที่รักและมีคุณค่า คุณสามารถรู้ได้ว่าพระเจ้ามองว่าคุณเป็นคนที่เหมาะสมและชอบธรรมผ่านศรัทธาในพระเยซู ทุกด้านในชีวิตที่ไม่เป็นระเบียบของคุณ วันนี้คุณสามารถสร้างมันใหม่ได้ผ่านทางพระเยซู

ข้อคิด

นี่คือข่าวดี - คุณสามารถได้รับการปลดปล่อยตัวเองจากพลังแห่งการปฏิเสธ!

แม้ชีวิตจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดและความผิดหวังได้ แต่เรารู้ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ความทุกข์ที่เกิดขึ้น มันก็แค่วันนี้...ไม่ใช่ตลอดไป

สิ่งที่จะได้รับในสวรรค์ มีมากเกินพอที่จะชดเชยการสูญเสียในโลกนี้

ขอขอบคุณ บทความหนุนใจจาก

คุณ JOYCE MEYER

thaiodb.org

อำนาจโดยการอธิษฐาน

 


อำนาจโดยการอธิษฐาน

ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใดซึ่งท่านปรารถนา ท่านก็จะได้สิ่งนั้น

  ยอห์น15:7

สิ่งทรงสร้างทุกอย่างของพระเจ้าในโลกนี้ มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่เป็นสิ่งทรงสร้างที่เป็นวิญญาณ พระวจนะแสดงให้เราเห็นว่าพระเจ้าได้สร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์ (ปฐมกาล 1:26) พระองค์ทรงสร้างเราในพระฉายของพระองค์ให้เหมือนพระองค์ และทำสิ่งต่างๆ เหมือนพระองค์ เราไม่เหมือนสัตว์: หมู หมา กา ไก่ ลิง และฯลฯ เราคือสิ่งมีชีวิตที่เป็นวิญญาณ  นี่เป็นสิทธิพิเศษและข้อได้เปรียบที่ชัดเจนมาก เราสามารถเข้าสู่อาณาจักรแห่งจิตวิญญาณโดยการอธิษฐานและนำมาซึ่งการกระทำที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ "พระเจ้าเป็นวิญญาณ .. " (ยอห์น 4:24 )

  การอธิษฐานเป็นการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า แม้เราจะไม่ได้พูดออกมาเป็นคำพูด แต่เราก็เชื่อว่าพระเจ้ารับรู้ และแน่ใจได้ว่าพระเจ้าจะเข้าใจสิ่งที่อยู่ในใจของเราอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม พระเจ้ายังอยากให้เราอธิษฐานกับพระองค์อยู่เสมอ เราสามารถอธิษฐานได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุกห้วงความรู้สึก

 มารซาตานรู้ดีว่า  ทุกคนที่ละเลยต่อการอธิษฐานและการศึกษาค้นคว้าพระคัมภีร์จะพ่ายแพ้ต่อการโจมตีของมัน  ดังนั้นมันจึงหากลอุบายทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อให้จิตใจของคนหมกมุ่นอยู่กับสิ่งต่างๆ   แผนการของมันก็คือ  การนำเอาความไม่จริงใจ  ทำให้เกิดความสงสัยและไม่มีความเชื่อ  เมื่อใดก็ตามที่ดราทำการศึกษาพระคัมภีร์โดยไม่มีการอธิษฐาน  จิตวิญญาณของเราก็ไม่พร้อมจะเรียนรู้  และข้อความที่สามารถเข้าได้ง่ายที่สุดก็อาจจะถูกบิดเบือนจากความหมายที่แท้จริงได้ด้วย ดังนั้น คุณสามารถมีความเชื่อได้เมื่อคุณอธิษฐานต่อพระเจ้า และความเชื่อของคุณจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อคุณเรียนรู้จักพระวจนะของพระเจ้า ยิ่งคุณรู้พระวจนะของพระเจ้ามากเท่าใด ความเชื่อของคุณก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น

 ข้อคิด

พระเยซูได้ให้อำนาจและสิทธิอำนาจแก่เราในการใช้กุญแจแห่งอาณาจักรเพื่อนำไปสู่ความประสงค์ของพระเจ้าบนโลกนี้  พระเยซูตรัสไว้ในมัทธิว 4:4 “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” (มัทธิว 4:4) การพัฒนาการของวิญญาณมนุษย์เกิดขึ้นได้โดยผ่านทางพระคำเท่านั้น คุณได้รับการสร้างผ่านทางพระคำและคงอยู่ได้โดยผ่านทางพระคำ  คำพูดหรือวิธีการในการอธิษฐานไม่สำคัญเท่ากับสภาพจิตใจเมื่ออธิษฐาน พระองค์ต้องการสดับฟังสิ่งที่อยู่ในใจคุณ

 ขอขอบคุณ บทความหนุนใจจาก

rorthai.com

sites.google.com

เพจชูใจ

 thaiodb.org


วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2563

พระเจ้าไม่เคยให้เราเผชิญเกินกว่าที่เราจะรับมือไหว

 


 ทางของพระเจ้าไม่ได้ยากเกินไป

เมื่อฟาโรห์ปล่อยประชากรไปแล้ว พระเจ้าไม่ได้ทรงนำพวกเขาไปทางแผ่นดินของคนฟีลิสเตียแม้ว่าจะเป็นทางใกล้ เพราะพระเจ้าตรัสว่า “เกรงว่าเมื่อประชากรไปเผชิญสงครามเข้า พวกเขาจะเปลี่ยนใจและกลับไปยังอียิปต์”

อพยพ 13:17

 พระเจ้าทรงนำชนชาติอิสราเอลไปบนเส้นทางที่ยาวกว่าและยากกว่าในถิ่นทุรกันดารเพราะพระองค์รู้ดีว่าพวกเขายังไม่พร้อมสำหรับการต่อสู้ที่พวกเขาจะต้องเผชิญเพื่อที่จะครอบครองดินแดนแห่งพันธสัญญา พระองค์จำเป็นต้องทำงานในชีวิตพวกเขาเพื่อสอนพวกเขาว่าเขาเป็นใคร?และพวกเขาไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้เสมอไป

 คุณสามารถมั่นใจได้ว่าพระเจ้าจะนำคุณไปที่ที่พระองค์สามารถดูแลรักษาคุณได้ พระองค์จะไม่ทรงให้คุณต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อคุณถูกทดลองนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้คุณมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อคุณจะมีกำลังทนได้ เราไม่จำเป็นต้องอยู่ในการต่อสู้อที่ต่อเนื่องและโดดเดี่ยวหากเราเรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระองค์ ถ้าเราเป็นของพระองค์ พระเจ้าจะไม่อนุญาตให้ความยากลำบากที่เราไม่สามารถทนได้เข้ามาในชีวิตของเรา การทดลองและการทดสอบที่มาสู่เรา พระเจ้ายังคงสัตย์ซื่อกับเรา พระองค์จะหาวิธีการที่จะให้เราอดทนต่อการทดสอบ เราไม่ต้องยอมให้กับความบาป เราสามารถเชื่อฟังพระเจ้าในทุกกรณี

  เมื่อคุณรู้สึกว่าชีวิตกำลังดำเนินอยูในหนทางที่ยากขึ้น ให้ใช้เวลากับพระองค์มากขึ้นพึ่งพาพระองค์มากขึ้นและรับพระคุณจากพระองค์มากขึ้น (ฮีบรู 4:16ฉะนั้นขอให้เราเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณด้วยความกล้า เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะพบพระคุณที่ช่วยเราในยามต้องการ ) พระคุณคือพลังของพระเจ้าที่มาหาคุณโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ที่จะทำในสิ่งที่คุณไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง

 พระเจ้ารู้ดีว่าวิธีง่ายๆไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดสำหรับเราเสมอไป เมื่อชีวิตหนักหนาเกินกว่าจะทนได้ จงปล่อยตนเองให้ล้มลงในพระเมตตาของพระเจ้า และพระองค์จะทรงโอบอุ้มเราไว้

ข้อคิด

ซาตานรู้ดีว่าถ้าหากมันสามารถเอาชนะเราได้ในความคิดของเรา มันจะสามารถเอาชนะเราในการดำเนินชีวิตได้ด้วย หากรู้เท่าทันมัน เราก็สามารถหลบเลี่ยงได้ วิธีที่จะช่วยให้เราสามารถเดินอยู่บนเส้นทางแห่งชีวิตได้อย่างปลอดภัย เราจึงจำเป็นต้องยึดพระวจนะพระเจ้าไว้ให้มั่น เราจำเป็นต้องรู้กลยุทธ์ของมารซาตาน เราต้องรู้ทันอุบายที่มันวางเอาไว้

ขอขอบคุณ บทความหนุนใจจาก

 siamchristian.com

 thaiodb.org

ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7

  ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7   จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และ...